ทางลัดที่ต้องรู้ ก่อนก้าวเข้าสู่การผลิตระบบ “ออโตเมชั่น”
ระบบออโตเมชั่นเป็นเหมือนทางลัดให้กับผู้ผลิตในยุคปัจจุบัน ได้ก้าวข้ามจากการใช้แรงงานคนไปสู่การผลิตแบบอัตโนมัติที่มีประสิทธิภาพ นั่นหมายถึง เพิ่มการผลิตที่ตอบสนองความต้องการของตลาด เพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรในขององค์กร หากยังคงควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการผลิตให้เป็นไปตามเป้าหมายระยะยาวขององค์กรได้ ก่อนจะก้าวสู่เส้นทางลัด ย่อมต้องมีการเตรียมความพร้อม พรีเมียร์ เทค มาชวนเรียนลัดจากผู้รู้ในอุตสาหกรรม ที่จะมาแชร์ประสบการณ์ตรงให้กับคุณ ก่อนที่จะลงสนามการผลิตจริงกับระบบ “ออโตเมชั่น”
เปลี่ยน “ปัญหา” เป็น “ประสิทธิภาพ” ด้วย “ออโตเมชั่น”
คุณสุพัฒน์ ลิ้มศิริ ที่ปรึกษากลุ่มอุตสาหกรรมน้ำตาลบ้านไร่ บ่มเพาะประสบการณ์กว่า 35 ปี ในฐานะผู้จัดการโรงงานไทยรุ่งเรืองอุตสาหกรรม จังหวัดเพชรบูรณ์ ดูแลภาพรวมการผลิตของโรงงานน้ำตาลทั้งหมด เล่าให้ฟังถึงเหตุผลหลักในครั้งที่ตัดสินใจเปลี่ยนกระบวนการผลิตมาใช้ระบบออโตเมชั่น เกิดจาก “ปัญหา” ที่นำไปสู่ “ระบบอัตโนมัติเพื่อสร้างประสิทธิภาพ” เมื่อโรงงานผลิตที่ส่งออกน้ำตาลทรายขาวไปให้กับลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถูกลูกค้าปฏิเสธการรับมอบน้ำตาลจากโรงงาน ด้วยเหตุที่ว่าน้ำตาลมีสภาพแข็ง (caking) จึงทำให้โรงงานโดนปรับและเกิดความเสียหายเป็นอย่างมาก เมื่อเราตรวจสอบพบว่าต้องติดตั้งเครื่องจักรเพื่อลดความชื้นของน้ำตาลเพิ่มเติมทำให้ต้องย้ายระบบบรรจุน้ำตาลแบบแมนวลตามไปด้วย รวมทั้งในครั้งนั้น มีปัญหาแรงงาน ขาด ลา มาสาย เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้เริ่มศึกษาหาข้อมูลในการนำระบบอัตโนมัติมาใช้ โดยปรับย้ายกระบวนการบรรจุน้ำตาลใหม่ให้สอดคล้องกับตำแหน่งของอุปกรณ์ป้องกันการแข็งตัวของวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นมา และผลพลอยได้จากระบบอัตโนมัติที่ตามมา คือ สามารถลดการปนเปื้อนที่ติดไปกับกระสอบน้ำตาลที่เคยเกิดขึ้นกับการบรรจุแบบแมนนวลได้โดยสิ้นเชิง
8 เรื่องที่ต้องพร้อม ก่อนเปลี่ยนจากแมนนวลสู่ออโตเมชั่น
- สร้างวิสัยทัศน์กับแผนระยะยาวที่สอดคล้องกัน
- เข้าใจถึงการลงทุน ผลตอบแทนระยะยาว
- เตรียมหาบุคลากรก่อนลงสนาม
- พร้อมปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานเพื่อระบบใหม่
- วางแผนการบำรุงรักษา
- พัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากร
- ปรับผังทีมปัจจุบัน สร้างมูลค่าในงานด้านอื่นๆ
- สื่อสารและสร้างการยอมรับในองค์กร
คิดจะแก้ คิดจะก้าว ต้องเข้าใจสองเรื่องหลัก
จากเก้าเรื่องที่ต้องเตรียมพร้อมเพื่อเปลี่ยนระบบแมนนวลมาเป็นออโตเมชั่น มีอยู่สองเรื่องสำคัญที่ทุกธุรกิจต้องเน้นย้ำ อันดับแรก การพัฒนาความรู้และทักษะของบุคลากร ซึ่งต้องเป็นการทำงานร่วมกันตั้งแต่ก่อนติดตั้งเครื่องของทั้งบริษัทผู้ผลิตและซัพพลายเออร์ที่เป็นผู้จัดหาเครื่องจักรและระบบต่างๆ เช่น ออกแบบการใช้ประโยชน์จากพื้นที่การผลิตให้ได้สูงสุด เตรียมบุคลากรที่พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ รวมถึงวางแผนการฝึกอบรมทั้งการปฎิบัติงานกับเครื่องจักรและการบำรุงรักษาเครื่อง
และอีกเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การบำรุงรักษา ซึ่งเป็นถือเป็นวินัยการใช้งานเครื่องจักรในระบบอัตโนมัติ โดยมีประเด็นหลัก ๆ ที่ต้องเตรียมพร้อมและพึงระวัง
- การบำรุงรักษาเป็นประจำ และการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน ต้องมีกำหนดการชัดเจน
- การฝึกอบรมและการให้ความรู้ด้านเครื่องจักรกับพนักงานทุกกะ รวมถึงพนักงานใหม่
- ไม่ควรเข้าไปแก้ไขหรือลองเล่นกับซอฟท์แวร์ของระบบควบคุมเครื่องจักร
- ไม่ควรใช้ชิ้นส่วนอะไหล่ที่ไม่ใช่ของแท้จากโรงงานผลิต เพราะจะส่งผลกับประสิทธิภาพของเครื่องจักรในระยะยาว
การดูแลบำรุงรักษาเป็นประจำและการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน จะทำให้เครื่องจักรทำงานได้ดีในระยะยาว ซึ่งจะช่วยป้องกันการสูญเสียค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และค่าใช้จ่ายจำนวนมากในอนาคต ที่เกิดจากขาดการดูแลเครื่องจักรที่เหมาะสมนั่นเอง
รางวัลที่รออยู่ สำหรับการเริ่มก้าว
หลังเปลี่ยนระบบการบรรจุเป็นแบบออโตเมชั่นแล้ว คุณสุพัฒน์เล่าให้พรีเมียร์ เทค ฟังถึงการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้นทั้งในเรื่องต้นทุนการผลิต (TCO – Total Cost of Ownership) ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI – Return on Investment) ประสิทธิภาพต่อการผลิต และระบบความปลอดภัย เพราะระบบออโตเมชั่น ทำให้โรงงานทำการผลิตได้อย่างต่อเนื่องและรองรับกำลังการผลิตของโรงงานได้เป็นอย่างดี
“จากเดิมที่ใช้พนักงานในส่วนงานนี้ถึง 17 คนต่อกะ ในการผลิต 300 วัน ระบบออโตเมชั่นทำให้เราลดลงมาเหลือ 3 คนต่อกะ ลองคำนวนคร่าวๆ เราลดค่าแรงได้มาก แม้ว่าจะต้องเพิ่มการลงทุนในส่วนของบรรจุภัณฑ์ แต่รวมแล้วเราประหยัดได้ถึงปีละ 3 ล้านกว่าบาท และสามารถคืนทุนให้เราได้ภายใน 3-4 ปี” คุณสุพัฒน์ยังย้ำผลดีที่เกิดจากการเปลี่ยนระบบ ทำให้ช่วยลดการเกิดอุบัติเหตุของพนักงานอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทั้งเรื่องความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน บริษัทมีการวางแผนตั้งแต่เริ่มเปลี่ยนระบบ ให้หัวหน้างานพิจารณา เพื่อปรับพนักงานในส่วนนี้ไปสร้างทีมในงานด้านอื่นๆ เป็นหนึ่งในการเตรียมองค์กรให้พร้อมเมื่อก้าวเข้าสู่ระบบออโตเมชั่น
มากกว่าการเป็นคู่ค้า คือการเป็นคู่คิด
“เราอยากได้คนมาช่วยคิด มาแชร์ประสบการณ์ มาแบ่งปันให้ความรู้กับเรา บอกเราได้ว่าเรามีจุดอ่อน จุดแข็งอย่างไร และอะไรที่เหมาะกับธุรกิจของเรา” คุณสุพัฒน์กล่าวกับพรีเมียร์ เทค ถึงการเลือกคู่ค้าหรือซัพพลายเออร์ ที่ปฎิเสธไม่ได้ว่ามีส่วนผลักดันความสำเร็จของธุรกิจที่เปลี่ยนผ่านสู่ระบบออโตเมชั่น ซัพพลายเออร์ที่ดีต้องเป็นมากกว่าคู่ค้า นั่นคือ การเป็นคู่คิด นอกจากจะต้องเป็นพาร์ทเนอร์ร่วมธุรกิจที่ถือเอาความสำเร็จของลูกค้าเป็นหัวใจหลักแล้ว ยังต้องมีองค์ประกอบต่างๆ ที่แสดงถึงการเป็นคู่คิดที่ดีได้ด้วย
- มีฐานการผลิต ทีมติดตั้งและทีมบริการหลังการขายอยู่ในประเทศหรือภูมิภาคเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องสื่อสารภาษาท้องถิ่นได้
- มีความคุ้นเคยกับทั้งระบบแมนนวลและระบบอัตโนมัติ เพราะจะทำให้เข้าใจและทำงานร่วมกับองค์กรในการก้าวสู่ระบบอัตโนมัติ สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้
- มีความน่าเชื่อถือ มีโครงการตัวอย่างที่แสดงถึงประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนั้นๆ มาก่อน
- มีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก สามารถตรวจสอบผลงานได้
แน่นอนว่า ถ้าผู้ผลิตเลือกคู่ค้าที่ “ใช่” จะได้รับประโยชน์ที่วัดผลได้และเห็นผลชัดเจน นั่นคือ ประสิทธิภาพการผลิตจะต้องเพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้นทุนและค่าใช้จ่ายลดลง เห็นผลประโยชน์ทางการเงินและการบัญชี เช่น ROI ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นจากระบบเก่าต้องน้อยลงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย และเกณฑ์มาตรฐานของลูกค้าและตลาด เช่น เรื่องสุขอนามัย หรือแม้กระทั่งประโยชน์ทางอ้อมกับระบบที่เชื่อมโยงในการการผลิต เช่น การใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่ามากขึ้น นอกจากนั้น จะนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพของคนในองค์กรและองค์ความรู้ ส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันเพิ่มมากขึ้น
และประโยชน์เหล่านี้ พรีเมียร์ เทค ยืนยันจากการทำงานร่วมกับคุณสุพัฒน์มาอย่างยาวนานว่า คู่ค้าที่ “ใช่” จะช่วยคุณคิดและมองผลประโยชน์ร่วมกันในการก้าวสู่การผลิตระบบ “ออโตเมชั่น”