“บางจาก-น้ำตาลขอนแก่น” เล็งหาพันธมิตร ร่วมลงทุนตั้งโรงงานผลิตสินค้าชีวภาพมูลค่าสูง
กลุ่มบางจากฯ – กลุ่มน้ำตาลขอนแก่น ดัน “บีบีจีไอ” เล็งหานักลงทุนต่างชาติ ลงทุน 1-2 พันล้าน ตั้งโรงงาน CDMO ในไทย ผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูง เอนไซม์ คอลลาเจน โปรตีนทางเลือก ชู SynBio นวัตกรรมสีเขียวตั้งเป้า 5 ปี เพิ่มสัดส่วนรายได้ ธุรกิจ High Value Bio-Based Products แตะ 50%
เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 นายกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI กล่าวว่า BBGI มีเป้าหมายที่จะเริ่มโครงการโรงงานพัฒนา ผลิต และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง (Contract Development and Manufacturing Organization (CDMO))
ซึ่งสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพมูลค่าสูงต่างๆ เช่น เอนไซม์, คอลลาเจน, เวย์โปรตีนจากนม, โปรตีนจากไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดการเบียดเบียนทรัพยากรธรรมชาติ และลดต้นทุนได้ดีกว่าการผลิตแบบดั้งเดิม
ล่าสุด บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาหาผู้ร่วมทุนกับพันธมิตร 2-3 ราย ที่มีความชำนาญในการทำ CDMO อีกทั้งมีฐานการผลิตที่ยุโรป สหรัฐฯ ซึ่งสนใจลงทุนในประเทศไทย โดยโจทย์ของบริษัทต้องพิจารณาเลือกผู้ที่จะสามารถต่อยอดโรงงานไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูงดังข้างต้น
โดยอยู่ระหว่างการศึกษา เบื้องต้น คาดว่าโรงงานจะใช้เงินลงทุน ประมาณ 1,000-2,000 ล้านบาท ส่วนที่ตั้งโรงงานอาจใช้ฐานพื้นที่เดิมของบริษัทที่มีอยู่หลายจังหวัด เช่น ฉะเชิงเทรา หรือกำลังพิจารณาพื้นที่ใหม่ที่มีศักยภาพเหมาะสม
“โรงงานแห่งนี้จะพัฒนา ผลิต จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง หรือCDMO เช่น เอนไซม์, คอลลาเจน, เวย์โปรตีนจากนม, โปรตีนจากไข่ ตลอดจนผลิตภัณฑ์โปรตีนทางเลือก วางแผนวางตลาด 5 ประเทศ ระหว่างนี้น่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์”
นอกจากนี้ BBGI ยังมองหาพันธมิตรร่วมลงทุนในประเทศไทย ที่จะเป็นการทำธุรกิจต้นน้ำ แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก คือ “มนัสไบโอ” ในการจัดทำแพลฟอร์ม SynBio ไปแล้ว และปัจจุบัน BBGI ก็มีความร่วมมือกับจุฬาฯ ผลิตน้ำยาล้างสารเคมีในผักและผลไม้ พัฒนาไปสู่การเป็นผู้ร่วมทุน โดยล่าสุดอยู่ระหว่างออกแบบผลิตภัณฑ์สำหรับวางจำหน่ายผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ต และแบบ B2C ตรงถึงผู้ซื้อ
นายกิตติพงศ์ กล่าว่า บริษัทตั้งเป้าหมายบริษัท คาดว่าภายใน 5 ปี จะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจ High Value Bio-Based Products ประมาณ 50% โดยผลการดำเนินงานย้อนหลัง 3 ปี BBGI มีรายได้เกือบ 10,000 ล้านบาท
แม้ว่าต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 แต่ด้วยการบริหารจัดการที่ดี ส่งผลให้มีกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 – 2563 มีกำไรสุทธิจำนวน 152 ล้านบาท 387 ล้านบาท และ 845 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตอย่างแข็งแกร่งมากกว่า 100% ต่อปี
นายชลัช ชินธรรมมิตร์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น กล่าวว่า บริษัทฯ มีนโยบายการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตน้ำตาลให้มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมส่งเสริมนวัตกรรมผ่านการวิจัยและพัฒนา เพื่อรองรับการขยายธุรกิจใหม่ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจน้ำตาลอย่างครบวงจร โดยนำผลพลอยได้ที่เกิดจากกระบวนการผลิตไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด บริษัทฯ จึงร่วมมือกับกลุ่มบางจากฯ เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง โดยนำจุดแข็งของกลุ่มน้ำตาลขอนแก่นที่เป็นผู้ผลิตน้ำตาลรายใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศมาช่วยสร้างความมั่นคงทางวัตถุดิบให้แก่ BBGI จากฐานการผลิตของโรงงานน้ำตาลรวม 5 แห่ง ซึ่งมีอัตราการหีบอ้อยรวม 131,500 ตันอ้อยต่อวัน โดยมีคาดการณ์ปริมาณอ้อยเข้าหีบปี 2565 อยู่ที่ 6.14 ล้านตันอ้อย
บีบีจีไอฯ ดำเนินธุรกิจในรูปแบบ Holding Company เพื่อเข้าลงทุนในบริษัทต่างๆ ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพ ได้แก่ เอทานอล ไบโอดีเซล ซึ่งสนับสนุนให้ BBGI เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเชื้อเพลิงชีวภาพรายใหญ่ของประเทศไทย และต่อยอดองค์ความรู้ไปสู่ผู้สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง โดยนำเอาเทคโนโลยีชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology: SynBio) มาใช้ เพื่อผลักดันให้ BBGI เป็นผู้นำธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่มีมูลค่าสูง สอดรับกับโมเดล Bio-Circular-Green Economy หรือ BCG ของภาครัฐ และมีส่วนผลักดันให้ประเทศไทยพัฒนาไปสู่กลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง