อินเดียนำโมเดลอ้อยเป็นต้นแบบ เพิ่มผลผลิตข้าวโพดให้บรรลุเป้าผสมเอทานอล 20%
รัฐบาลอินเดียอาจต้องพัฒนาระบบนิเวศน์อ้อยสําหรับการปลูกข้าวโพดในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อให้ประเทศบรรลุเป้าหมายการผสมเอทานอลกับน้ำมันเบนซิน 20% เนื่องจากปริมาณกากน้ำตาลไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทั้งหมดได้
ภายใต้กฎระเบียบบการควบคุมอ้อย โรงงานน้ำตาลจะได้รับคําสั่งซื้ออ้อยทั้งหมดที่เสนอโดยเกษตรกรในพื้นที่ท้องถิ่น ตามการตัดสินใจของรัฐบาลในราคาที่ไม่ต่ำกว่าราคาส่วนกลาง
รัฐบาลยังได้กําหนดราคาขายน้ำตาลขั้นต่ำให้กับโรงงาน เพื่อให้พวกเขาสามารถกู้เงินได้จํานวนหนึ่ง ซึ่งเพียงพอที่จะจ่ายให้กับชาวไร่อ้อยหลังจากซื้อพืชผลแล้ว
ข้อจํากัดของอ้อย
ซานจีฟ โชปรา เลขาธิการ Union Food ของอินเดีย กล่าวว่ามีข้อจำกัดในการเพิ่มผลผลิตอ้อย และครึ่งหนึ่งของความต้องการเอทานอลจะต้องมาจากพืชที่เป็นธัญพืชเป็นหลัก
ในทางปฏิบัติ การเก็บเกี่ยวอ้อยเป็นสิ่งจําเป็นทุกช่วงเวลา, สมาคมตลาดหลักทรัพย์แห่งอินเดีย (ISMA) กล่าวว่า
“เมื่อเราบอกว่ามีความต้องการเอทานอล 13,000 ล้านลิตร (เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายการผสมเอทานอล 20 %) ครึ่งหนึ่งมาจากกากน้ำตาลและครึ่งหนึ่งมาจากธัญพืช แล้วอุปทานมาจากไหน” โชปรากล่าวเมื่อวันอังคาร โดยกล่าวถึงการสัมมนาระดับชาติเกี่ยวกับเอทานอลที่ได้มาจากข้าวโพด
เขาได้กล่าวว่า การผลิตกากน้ำตาลยังมีข้อจํากัด เว้นแต่พื้นที่การปลูกอ้อยจะเพิ่มขึ้น จากสภาพปัจจุบันของพื้นที่อ้อย การผลิตเอทานอลไม่สามารถเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ ส่วนธัญพืชอย่างเช่น ข้าว ถึงแม้จะได้รับเงินอุดหนุนจากบริษัทอาหารอินเดีย (FCI) แต่ก็ยังไม่ใช่วัตถุดิบที่ยั่งยืนสําหรับการผลิตเอทานอล
เมื่อเทียบกับต้นทุนทางเศรษฐกิจของข้าวโดยประมาณคือ 38 รูปีต่อกิโลกรัม ในขณะที่รัฐบาลโดย FCI ได้เสนอสต็อกไว้ที่ 20 รูปีต่อกิโลกรัมให้กับโรงกลั่นเพื่อผลิตเอทานอล, โชปรากล่าวต่อว่า นั่นเป็นเพียงการสนับสนุนอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่ใช่รูปแบบที่ยั่งยืน
เมื่อสรุปการพิจารณาของเหตุการณ์ตลอดทั้งวัน เขากล่าวว่า การผลิตข้าวโพดควรเพิ่มขึ้นเป็น 42.5 ล้านตัน จากปัจจุบันที่ 34 ล้านตัน หากต้องการบรรลุเป้าหมายที่ 20%
วิธีการที่จะประสบความสําเร็จเป็นสิ่งที่จะต้องมีการพูดคุยกัน เขาจึงให้คำแนะนํา โดยอย่างแรกให้ทำแผนงานกับเป้าหมาย อย่างที่สองหน่วยงานโรงกลั่นควรร่วมมือกับเกษตรกร เช่น โรงงานน้ำตาล เพื่อเพิ่มการผลิตและผลผลิตของข้าวโพด
โกยัล – ผู้นำฝ่ายรัฐบาล ให้ความมั่นใจ
โชปรากล่าวว่า ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย รวมถึงกระทรวงปิโตรเลียม (หน่วยงานควบคุมของบริษัทการตลาดน้ำมันภาครัฐ) ได้ตกลงกันว่าระบบราคาที่มั่นคงจะทำให้การปลูกข้าวโพดสามารถเพิ่มเอทานอลได้ เพราะหากไม่มีอุตสาหกรรมก็จะไม่มีการตั้งโรงงานใหม่
ในอินเดีย โรงกลั่นโดยทั่วไปจะผลิตเอทานอลจากกากน้ำตาล ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากน้ำตาล
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการผสมเอทานอลกับน้ำมันเบนซิน ด้วยอัตราส่วน 20% ภายในปี 2568 จึงต้องใช้เอทานอลประมาณ 10,160 ล้านลิตร และต้องใช้เอทานอลประมาณ 3,340 ล้านลิตร สําหรับการใช้งานอื่น ๆ โดยจะต้องมีกําลังการผลิตเอทานอลประมาณ 17,000 ล้านลิตร ซึ่งพิจารณาจากโรงงานที่มีประสิทธิภาพการดำเนินงานอยู่ที่ 80%
ปัจจุบันอินเดียมีความสามารถในการผลิตเอทานอล 10,820 ล้านลิตร (รวมถึงโรงงานที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง) ซึ่ง 7,230 ล้านลิตรมาจากหน่วยกากน้ำตาล และ 3,590 ล้านลิตรมาจากธัญพืช
ภายหลังการพูดในงานเดียวกัน ไพยุช โกยัล รัฐมนตรีกรมอาหารและสิทธิผู้บริโภค แสดงความมั่นใจว่าประเทศจะบรรลุเป้าหมายการผสมเอทานอลกับน้ำมันเบนซินให้ได้ในอัตรา 20% ภายในปี 2568 และยืนยันว่าข้าวโพดจะมีบทบาทสำคัญในการดำเนินโครงการนี้
โกยัลเรียกเอทานอลว่าเป็น “กลุ่ม Start-ups” โดยเชิญชวนให้ภาคอุตสาหกรรมตั้งโรงงานผลิตเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถดำเนินการโดยใช้วัตถุดิบได้ทั้ง 2 แบบ (อ้อยและเมล็ดธัญพืช)
เขากล่าวว่าใบเรียกเก็บเงินนำเข้าน้ำมันดิบของอินเดียอาจลดลง 500,000 ล้านรูปี ซึ่งนำไปสู่การประหยัดทุนสำรองเงินตราต่างประเทศได้อย่างมาก เนื่องจากอินเดียสามารถลดการนำเข้าน้ำมันดิบลงได้ 8 ล้านตัน หากบรรลุการผสมเอทานอลได้ถึง 20%