AFYREN จัดตั้งโรงงานแห่งที่สองในไทย จับมือ กลุ่มมิตรผล เดินหน้าผนึกกำลังผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพเพื่อสิ่งแวดล้อม
AFYREN ผู้ผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพเพื่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างเต็มรูปแบบร่วมกับเทคโนโลยีการหมักเฉพาะ ลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพแห่งที่สองในประเทศไทย
สอดรับการเติบโตของธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ร่วมกับ กลุ่มมิตรผล ผู้ผลิตน้ำตาลชั้นนำรายใหญ่อันดับที่ 3 ของโลกโดยมี มร. ออลีวีเย แบ็ชต์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการยุโรปและการต่างประเทศ สาธารณรัฐฝรั่งเศส (Mr. Olivier Becht, French Minister Delegate to the Minister of Europe) และ คุณวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมเป็นสักขีพยานความร่วมมือฯ เมื่อเร็วๆ นี้
นิโคลัส ซอร์เด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AFYREN กล่าวว่า “โครงการนี้นับเป็นก้าวสำคัญในการวางรากฐานและพัฒนาธุรกิจของ AFYREN ด้วยการจัดตั้งโรงงานแห่งที่สองในศูนย์กลางภูมิภาคเอเชีย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น ความร่วมมือกับกลุ่มมิตรผลในครั้งนี้จะช่วยให้ AFYREN สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบที่มีความยั่งยืนจากอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลได้ในระยะยาวในขณะเดียวกัน กลุ่มมิตรผลยังเป็นองค์กรที่มุ่งให้ความสำคัญกับการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนมาโดยตลอดเราจึงมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมงานกับกลุ่มมิตรผล พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนและพัฒนาธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคนี้ให้เติบโตยิ่งขึ้นต่อไป”
คุณวีระเจตน์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจน้ำตาลประเทศไทย พลังงาน และธุรกิจใหม่ กลุ่มมิตรผล กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ AFYREN ในครั้งนี้ สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของกลุ่มมิตรผลที่มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยโครงการฯ จะช่วยผลักดันให้เกิดการต่อยอด ยกระดับประสิทธิภาพการผลิตด้วยการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนและแนวคิด “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ไร้ค่าให้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า” (From Waste to Value Creation) พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มให้วัตถุดิบ เพื่อต่อยอดอ้อยและน้ำตาลสู่ผลิตภัณฑ์ไบโอเบสที่มูลค่าสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม”
โครงการดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกของ AFYREN ในการขยายธุรกิจในต่างประเทศ สอดคล้องตามแผนการดำเนินงานตามที่ระบุในการเสนอขายหุ้น (IPO) หลังจากการก่อตั้งโรงงานแห่งแรกในประเทศฝรั่งเศส และเป็นกลยุทธ์หลักเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการประยุกต์ใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีของ AFYREN กับอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลของกลุ่มมิตรผล ซึ่งจะนำชีวมวลที่เหลือใช้ในภาคเกษตรของกลุ่มมิตรผลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ไบโอเบสและผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ ด้วยเป้าหมายกำลังการผลิตที่ 28,000 ตันต่อปี
ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่าง AFYREN และกลุ่มมิตรผล ประกอบด้วยข้อตกลงเพื่อเสริมสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน ได้แก่
ความสมบูรณ์แบบของที่ตั้ง
การเลือกจัดตั้งโรงงานที่อยู่ใกล้เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร เพื่อให้สามารถรองรับลูกค้าทั้งในประเทศและนานาประเทศได้ อีกทั้งการดำเนินงานในประเทศไทยยังเปรียบเสมือนศูนย์กลางของตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความต้องการของตลาดเพิ่มสูงขึ้น โดยการเติบโตของตลาดนี้ขับเคลื่อนด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและโภชนาการสัตว์เป็นหลัก ทั้งนี้ สารอินทรีย์ชีวภาพของ AFYREN จะถูกนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์อาหารหลายชนิดเพื่อประโยชน์ในการถนอมอาหารและการแต่งกลิ่น-รสธรรมชาติ รวมถึงเป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และเป็นทางเลือกจากธรรมชาติ เพื่อทดแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ นอกจากการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทยแล้ว AFYREN ยังจะได้รับประโยชน์จากภูมิศาสตร์ที่ตั้งของประเทศไทย ซึ่งอยู่ใจกลางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเป็นฐานการส่งออกผลิตภัณฑ์จากโรงงานแห่งใหม่ไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียอีกด้วย
ข้อตกลงเชิงกลยุทธ์สำหรับทั้งสององค์กร
ข้อตกลงเบื้องต้นระหว่าง AFRYREN และกลุ่มมิตรผล ได้นำไปสู่การสร้างโรงงานผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพแห่งที่สองของกลุ่มบริษัท AFYREN ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจของ AFYREN คือ “การสร้างและลงมือทำ” ที่มีเป้าหมายในการตั้งฐานการผลิตให้อยู่ใกล้กับแหล่งวัตถุดิบและตลาดของกลุ่มลูกค้าให้มากที่สุด โดยให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียและอเมริกาเหนือเป็นหลัก
มากไปกว่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวยังสอดรับกับวิสัยทัศน์ของกลุ่มมิตรผลอย่างการเป็น “บริษัทชั้นนำระดับโลกในอุตสาหกรรมน้ำตาลและไบโอเบส โดยการใช้นวัตกรรมทางเทคโนโลยีร่วมกับการบริหารจัดการอย่างบูรณาการ เพื่อสร้างคุณค่า สร้างอนาคตให้กับสังคม” ทั้งนี้ คาดว่าข้อตกลงดังกล่าวจะสามารถสรุปได้อย่างเป็นทางการในช่วงกลางปี พ.ศ. 2566
โครงการที่มีการดำเนินงานตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน
ด้วยปัจจัยในด้านสถานที่ตั้ง และการดำเนินงานของพันธมิตร สอดคล้องกับกลยุทธ์ด้านความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) ของทั้งสององค์กรได้เป็นอย่างดี อาทิ
- โครงการสามารถช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม ผ่านการสร้างงาน สร้างอาชีพโดยตรงกว่า 80 ตำแหน่ง และการจ้างงานทางอ้อมอีกกว่า 280 ตำแหน่ง ในการดำเนินการผลิต โดย AFYREN และกลุ่มมิตรผลจะใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมจากการดำเนินงานที่เกี่ยวข้อง ที่อยู่ทั้งในประเทศฝรั่งเศสและประเทศไทย รวมถึงยังมีการจัดหา ฝึกอบรม และพัฒนาทักษะให้พนักงานของโรงงานในอนาคต
- โครงการมีการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการออกแบบให้พื้นที่ตั้งของโรงงาน สามารถเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบได้โดยตรง นับเป็นการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่จะเกิดขึ้นจากการขนส่งได้เป็นอย่างมาก อีกทั้งกระบวนการผลิตของ AFYREN เป็นการนำวัตถุดิบมาหมุนเวียนใช้ให้เกิดประโยชน์ นอกจากนี้ โรงงานฯ
ยังได้รับการออกแบบให้มีการใช้พลังงานไฟฟ้าชีวมวลและไอน้ำที่มีคาร์บอนต่ำของกลุ่มมิตรผล ซึ่งสนับสนุนหลักการดำเนินงานแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน โดยกระบวนการผลิตของโรงงาน ยังคงยึดหลักการเดียวกันกับโรงงานแห่งแรกของ AFYREN คือ ไม่มีการใช้ทรัพยากรน้ำอย่างสิ้นเปลือง และจะนำผลพลอยได้จากกระบวนการผลิตมาใช้เป็นปุ๋ยเพื่อการเกษตรต่อไป
ความร่วมมือในครั้งนี้ AFYREN มีความมุ่งมั่นที่จะดำเนินการตามคำมั่นสัญญาในการผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพที่มีการปล่อยคาร์บอนฟุตพรินต์ต่ำกว่าการผลิตโดยใช้วัตถุดิบตั้งต้นจากปิโตรเลียมแบบดั้งเดิม อีกทั้งยังเป็นการตอกย้ำเป้าหมายการดำเนินงานเพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของ
กลุ่มมิตรผลในปี ค.ศ. 2050 ผ่านการยกระดับการพัฒนาอ้อยและน้ำตาลสู่อุตสาหกรรมไบโอเบส ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแนวทางเพื่อสร้างความยั่งยืนให้สังคมและสิ่งแวดล้อมโลก โดยในปีนี้ กลุ่มมิตรผลได้ก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนอันดับที่ 2 ของโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร จากการประเมินด้านความยั่งยืนขององค์กร หรือ Corporate Sustainability Assessment (CSA) โดย S&P Global
โรงงานเพื่อการผลิตเชิงอุตสาหกรรมที่พร้อมด้วยประสบการณ์การดำเนินงานจากโรงงานแห่งแรกของ AFYREN ในยุโรป
โรงงานผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพในประเทศไทยจะตั้งอยู่ภายในพื้นที่โรงงานของกลุ่มมิตรผล ซึ่งอยู่ใกล้กับกรุงเทพมหานครโดยนอกจากการจัดหาพื้นที่ในการจัดตั้งโรงงานแล้ว กลุ่มมิตรผลจะนำชีวมวลที่มีคุณภาพสูงจากกระบวนการผลิตอ้อยและน้ำตาลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์ไบโอเบสและผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ เพื่อต่อยอดสู่การผลิตสารอินทรีย์ชีวภาพของ AFYREN ต่อไป ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตอยู่ที่ 28,000 เมตริกตันต่อปี และคาดว่าจะสร้างรายได้กว่า 60 ล้านยูโรต่อปี เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ AFYREN เคยประกาศไว้ในการเสนอขายหุ้น (IPO) เมื่อเดือนตุลาคม
พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ คาดว่าโรงงานจะสามารถเริ่มผลิตได้ภายในปี พ.ศ. 2568 และจะนำเทคโนโลยีและประสบการณ์การบริหารโรงงานแห่งแรก AFYREN NEOXY กำลังการผลิต 16,000 ตันต่อปี ที่เปิดดำเนินการแล้ว มาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด