ยกระดับการทำงานของระบบอ้อยและน้ำตาลไทย
ในภาวะการส่งออกที่ผิดปกติอันเนื่องมาจากท่าทีของประเทศที่มีมาตั้งแต่ปี 2523 ที่มีการอุดหนุนด้วยเงินจำนวนมหาศาลจากทั่วโลกได้ทำให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะลอยตัว เป็นเวลาเกือบสองปีแล้วที่รัฐบาลได้พยายามที่จะปฏิรูประบบอุตสาหกรรมนํ้าตาลให้มีอิสระมากขึ้น เพื่อปรับลอยตัวราคาขายปลีกในประเทศจากที่มีการตรึงราคาไว้ที่ 23.50 บาทต่อกิโลกรัม
การตรึงราคาได้ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2552 และนอกจากนี้ผู้บริหารยังได้เพิกถอนระบบโควต้านํ้าตาลอีกด้วย
เมื่อวันที่ 15 มกราคม รัฐบาลได้ใช้มาตรา 44 โดยกำหนดให้มีการบังคับใช้มาตรา 17 (15) แห่งพระราชบัญญัติอ้อยและนํ้าตาลทรายปี 2527 ในการกำหนดราคานํ้าตาลทรายเพื่อการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังได้กำหนดโควต้าไว้จำนวนสามโควต้าในแต่ละปีเพื่อป้องกันปัญหาการขาดแคลนนํ้าตาลทรายอีกด้วย
โควต้าA กำหนดปริมาณนํ้าตาลทรายเพื่อการบริโภคภายในประเทศไว้ที่ 2.2-2.5ล้านตัน โควต้าB กำหนดปริมาณการส่งออกนํ้าตาลทรายของประเทศไว้ที่ 800,000ตัน โควต้าC กำหนดปริมาณนํ้าตาลทรายที่ส่งออกโดยผู้ผลิตนํ้าตาลเอกชน
มาตรา 44 ได้ยกเลิกการเรียกเก็บภาษีห้าบาทจากราคาโรงงานให้กับกองทุนอ้อยและนํ้าตาลทราย
สำนักงานคณะกรรมการอ้อยและนํ้าตาลทราย (สอน.) กล่าวว่ารัฐบาลยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาแก้ไขส่วนอื่น ๆ ของพระราชบัญญัติปีพ.ศ. 2527 ซึ่งอยู่ระหว่างกระบวนการปรับปรุงแก้ไขมาตั้งแต่ปี 2557
แผนการเปิดเสรียังคงทำได้เพียงแค่บางส่วน แต่กลไกบางอย่างได้ถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยในทางอ้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่งอัตราส่วนการแบ่งผลกำไร 70:30 โดยร้อยละ 70 ของรายได้ทั้งหมดที่ได้จากนํ้าตาลในแต่ละปีจะจัดสรรให้กับเกษตรกร และอีกร้อยละ 30 ให้กับผู้ผลิตนํ้าตาล
งานวิจัยของธนาคารกรุงศรี โดยคลังสมองภายใต้สังกัดธนาคารกรุงศรีอยุธยาคาดว่าอัตราส่วนการแบ่งปันผลกำไร 70:30 จะช่วยให้ผู้ผลิตนํ้าตาล 54 รายมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นที่มีเสถียรภาพและสร้างความแข็งแกร่งให้กับห่วงโซ่อุปทานนํ้าตาลในการนำเสนอแก่ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจำนวนมากและการลงทุนในผลิตภัณฑ์กลุ่มนํ้าตาลโดยใช้กากนํ้าตาลและชานอ้อยที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น โดยผู้ผลิตนํ้าตาลจะมีการเติบโตของรายได้ที่ลดลงจากระบบนี้
อ้อยพืชสำคัญของประเทศ
นางวรวรรณ ชิตอรุณ เลขาธิการ สอน. กล่าวว่าภาคการเกษตรของไทยมีการแข่งขันกันสูง มีความหลากหลาย และมีความเชี่ยวชาญ ดังนั้นพืชบางชนิดจึงได้รับการควบคุมและเงินอุดหนุนเพื่อสนับสนุนชาวไร่ชาวสวนและเกษตรกร
“นํ้าตาลเป็นพืชที่สำคัญที่สุดของประเทศเพราะประเทศไทยเป็นผู้ผลิตนํ้าตาลรายใหญ่อันดับสี่ของโลกและเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่เป็นอันดับที่สองของโลก” เธอกล่าว
ในปีนี้ประเทศไทยผลิตนํ้าตาลได้ 14.71 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.7 จากผลผลิตอ้อย 134.93 ล้านตัน ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.2 ฤดูกาลการหีบอ้อยจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงพฤษภาคม
ตามรายงานของ สอน. ปริมาณนํ้าตาลทรายเพื่อการบริโภคภายในประเทศลดลงร้อยละ 3 หรือ 1.9 ล้านตันในช่วง 8 เดือนแรกในขณะที่การส่งออกในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 หรือ 7.54 ล้านตัน
คณะกรรมการคาดว่าระดับสูงสุดของการบริโภคภายในประเทศในปีนี้จะอยู่ที่ 2.6 ล้านตัน ซึ่งลดลงจากปี 2560 ร้อยละ 11 ในขณะที่การส่งออกนํ้าตาลถือว่ามีปริมาณสูงกว่า 11 ล้านตัน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 58.5
มาตรการของอินเดียทำให้ราคานํ้าตาลในตลาดโลกตกตํ่าที่สุดในรอบ 10 ปี โดยอินเดียได้จัดสรรเงินจำนวน 760 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (25.1 พันล้านบาท) เพื่อเพิ่มราคาอ้อยให้แก่เกษตรกรในท้องถิ่นและชดเชยต้นทุนการขนส่งไปยังท่าเรือในการส่งออกนํ้าตาลจำนวน 5 ล้านตัน
เพื่อเป็นการตอบโต้มาตรการดังกล่าว ผู้ผลิตน้ำตาลของไทยได้ร่วมมือกับกล่มุพันธมิตรเพื่อการปฏิรูปการค้านํ้าตาลโลก (จีเอสเอ) ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) และหาทางยกเลิกมาตการการอุดหนุนของอินเดีย
ผู้ผลิตนํ้าตาลของไทยประกอบด้วย สมาคมโรงนํ้าตาลไทย สมาคมผู้ผลิตนํ้าตาลและชีวพลังงานไทย และสมาคมการค้าอุตสาหกรรมนํ้าตาล ร่วมกับจีเอสเอ ซึ่งนำโดยผู้ผลิตนํ้าตาลประเทศบราซิล ออสเตรเลีย กัวเตมาลา โคลัมเบีย ชิลีและแคนาดา เพื่อเรียกร้องให้องค์การการค้าโลกในฐานะที่เป็นอนุญาโตตุลาการดำเนินการตามข้อร้องเรียน
องค์การนํ้าตาลระหว่างประเทศเสนอราคานํ้าตาลไว้ที่ 12.78 เซนต์สหรัฐต่อปอนด์ในเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา
นายนราธิป อนันตสุข หัวหน้าสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งชาติกล่าวว่าราคาน้ำตาลโลกคาดว่าจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องอันเนื่องมาจากผลผลิตจากผู้ผลิตหลักที่เพิ่มขึ้น เช่น อินเดีย ปากีสถาน และจีน “สถานการณ์ล้นตลาดคาดว่าจะดำเนินต่อไปในอีกสองสามปีข้างหน้า” นายนราธิปกล่าว
อุปทานเกิน
ผู้ผลิตนํ้าตาลของไทยเรียกร้องให้ สอน. เริ่มฤดูกาลการหีบอ้อยในวันที่ 15 พฤศจิกายน ซึ่งเร็วกว่าปกติสองสัปดาห์ แต่คณะกรรมการยังไม่ได้ประกาศฤดูกาล
ผู้ประกอบการกล่าวว่าพวกเขาต้องการเวลา 140 วัน ในช่วงฤดูกาลของปี 2561-2562 เพื่อผลิตนํ้าตาล ซึ่งสอน. ควบคุมการเพาะปลูกอ้อยและการผลิตนํ้าตาล ในขณะที่ผู้ผลิตมีสมาคมผู้ผลิตนํ้าตาลไทย สมาคมผู้ผลิตนํ้าตาลและชีวพลังงานไทย และสมาคมการค้าอุตสาหกรรมนํ้าตาล เป็นกลุ่มการค้า
นายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี ประธานฝ่ายประชาสัมพันธ์ของทั้งสามสมาคมกล่าวว่าผู้ผลิตนํ้าตาลคาดการณ์ปริมาณอ้อยสำหรับฤดูกาลใหม่ไว้ที่ 120-125 ล้านตันซึ่งต่ำกว่าฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งสิ้นสุดลงในต้นเดือนพฤษภาคม และมีปริมาณอ้อยอยู่ที่ 135 ล้านตัน
นายสิริวุทธิ์กล่าวว่าการประมาณการณ์นี้ถือเป็นปริมาณที่สูงสำหรับผู้ผลิตนํ้าตาล เขากล่าวว่าผู้ผลิตเร่งการผลิตในฤดูกาลการหีบอ้อยก่อนหน้านี้ แต่โรงงานบางแห่งไม่สามารถปิดฤดูกาลก่อนสงกรานต์ได
การตั้งราคาใหม่
นางวราวรรณกล่าวว่า สอน. ได้กำหนดราคาขั้นต้นสำหรับอ้อยสองชุดในฤดูกาลการหีบอ้อยในปี 2561-2562 “ราคาอ้อยขั้นต้นอยู่ที่ 680 บาทต่อตันและระดับความหวานของอ้อยในเชิงพาณิชย์อยู่ที่ระดับ 12.30” เธอกล่าว
นางวราวรรณตั้งข้อสังเกตว่า สอน. อนุมัติงบประมาณเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรสูงถึง 50 บาทต่อตัน สูงสุด 5,000 ตันต่อราย ดังนั้นเกษตรกรจะขายอ้อยได้ในราคา 880-900 บาทต่อตัน และสอน. สนับสนุนเกษตรกรในการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อยให้เป็นร้อยละ 15 จากเดิมร้อยละ 11 เนื่องจากการขยายพื้นที่ในการปลูกอ้อยในประเทศไทยนั้นเป็นเรื่องยาก
เศรษฐกิจชีวภาพ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ดร.อุตตม สาวนายน กล่าวว่า รัฐบาลจะส่งเสริมอุตสาหกรรมนํ้าตาลเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มภายใต้นโยบายด้านเศรษฐกิจชีวภาพ รัฐบาลได้จัดสรรนํ้าตาล 500,000 ตัน สำหรับการผลิตเอทานอลโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดต้นทุนการผลิต
ผู้ผลิตเอทานอลหลายรายกำลังเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมาจากมันสำปะหลังที่เป็นที่ต้องการเพิ่มมากขึ้นในภาคอุตสาหกรรมอาหารสัตว์
“เกษตรกรสามารถเปลี่ยนจากการปลูกอ้อยสำหรับการผลิตนํ้าตาลเพื่อการส่งออกเพียงอย่างเดียว ซึ่งทำให้ราคานํ้าตาลในตลาดโลกเกิดความผันผวน” นายอุตตม กล่าวว่า “การพัฒนาทางชีวเคมีมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเพิ่มราคาพืชผลทางการเกษตร สร้างผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มที่สูงขึ้น และรักษาเสถียรภาพของราคา”
แผนการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจชีวภาพได้ดำเนินการในจังหวัดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือมาตั้งแต่เดือนเมษายน เมื่อคณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการดังกล่าว
นายอุตตม กล่าวว่า รัฐบาลได้คัดเลือกจังหวัดจำนวนสามจังหวัดสำหรับโครงการนี้ คือ ขอนแก่น, นครสวรรค์ และกำแพงเพชร ซึ่งมีมันสำปะหลังและอ้อยเป็นจำนวนมาก รัฐบาลมีแผนที่จะพัฒนาโครงการในช่วงปี 2561-2569 ตามแนวคิดประชารัฐ
“ประเทศไทยถูกกำหนดให้เป็นศูนย์กลางทางชีวเคมีของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปี 2570 โดยมุ่งเน้นที่พลาสติกชีวภาพและชีวเคมี” นาย อุตตม กล่าว
บริษัท ต่างๆ เช่น บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน), บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน), มิตรผลกรุ๊ป, บริษัท พูแรค (ประเทศไทย) จำกัด,คอร์เบียนกรุ๊ป และ บริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ให้ความสนใจในแผนชีวเคมีนี้
อุตสาหกรรมชีวเคมีเป็นหนึ่งในภาคธุรกิจที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ของรัฐบาล โดยคาดว่ามีมูลค่าการลงทุนเท่ากับ 130,000 ล้านบาทภายในปี 2570 ภายในปีดังกล่าวคาดว่าโครงการนี้จะเพิ่ม รายได้ให้กับเกษตรกรได้มากถึง 85,000 บาทต่อคนต่อปี สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตรประมาณ 400,000 ล้านบาทและมีการจ้างงานพนักงานมากกว่า 800,000 คนทั่วประเทศ