อุตสาหกรรมน้ำตาลไทย

ไทยเคาะเพิ่มราคาอ้อย พร้อมสั่งให้น้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม

อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลถือเป็นอุตสาหกรรมหลักที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล คิดเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี เพราะมีจุดแข็งในการใช้วัตถุดิบในภายในประเทศมาแปรรูปเป็นน้ำตาลเพื่อตอบสนองความต้องการ รวมถึงยังมีผลผลิตส่วนเกินที่สามารถส่งออกทำรายได้ให้กับโรงงานน้ำตาลและเหล่าเกษตรกรผู้ปลูกอ้อย นอกจากนี้ การที่อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยมีทำเลที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียที่เต็มไปด้วยประเทศผู้นำเข้าน้ำตาลรายใหญ่ของโลก ส่งผลทำให้มีข้อได้เปรียบด้านต้นทุนการขนส่งไปยังตลาดในภูมิภาค เป็นปัจจัยส่งเสริมให้อุตสาหกรรมน้ำตาลของไทยเติบโตขึ้นมาตามลำดับ 
 
อุตฯ นี้เติบโตและมีศักยภาพมาได้เพราะเป็นเพียงสินค้าเกษตรตัวเดียวที่มีกฎหมายอยู่ภายใต้ พ.ร.บ.อ้อยและน้ำตาลฯ ซึ่ง พ.ร.บ.ฯ นี้ก็มีการปรับปรุงกันมาบ้างแต่ที่ทำให้ระบบต้องปั่นป่วนหนักคงหนีไม่พ้นการที่บราซิลยื่นขอหารือกับไทย (Consultation) ต่อองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อปี 2559 ในประเด็นไทยซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลเบอร์ 2 ของโลกรองจากบราซิล ใช้นโยบายอุดหนุนส่งออกน้ำตาล ในลักษณะที่อาจขัดกับข้อตกลง WTO และแสดงความกังวลต่อการแก้ไข พ.ร.บ.อ้อยฯ ปี 2527 การกำหนดระบบโควตาน้ำตาลของไทย ที่มีทั้งกำหนดปริมาณและราคา ตลอดจนโครงการช่วยเหลือชาวไร่ ด้วยการกำหนดราคารับซื้ออ้อย และการใช้เงินกองทุนอ้อยและน้ำตาลจูงใจให้ชาวไร่หันมาปลูกอ้อยมากขึ้น 
 
ไทยส่งทีมไปเจรจาหลายหน มีการตั้งงบประมาณมาเพื่อการนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ แน่นอนว่าตัวแทนหลัก ๆ หนีไม่พ้นกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม โรงงานและชาวไร่อ้อยแต่ดูเหมือนว่าเสียงจากส่วนใหญ่โดยเฉพาะจากรัฐเน้นไปที่การแก้ไขทุกอย่างให้ตอบโจทย์บราซิล เพียงเพราะกังวลว่าหากแพ้บราซิลในการฟ้องร้อง WTO จะต้องจ่ายเงินชดเชยมหาศาล และเหตุผลนี้เองนำมาสู่การออกประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2561 เรื่องการแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทั้งระบบ

ลอยตัว-ถอดน้ำตาลออกจากสินค้าควบคุม

นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการประกาศ “ลอยตัวราคาน้ำตาล” ของไทยอย่างเป็นทางการ ทำให้ไทยยกเลิกระบบโควตา และการกำหนดราคาขายน้ำตาลภายในประเทศ ส่วนวิธีการคำนวณราคาอ้อยให้ชาวไร่นั้น ได้อาศัยกลไกอิงราคาน้ำตาลโลก หรือลอนดอน No.5 บวกพรีเมียม และต่อมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2562 มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ให้ถอดสินค้าน้ำตาลทรายออกจากบัญชีสินค้าควบคุม จากเดิมกระทรวงพาณิชย์กำหนดให้น้ำตาลเป็นสินค้าควบคุม และกำหนดให้จำหน่ายปลีกได้ในราคาไม่เกิน 23.50 บาท/กิโลกรัม (กก.) 
 
หลังรัฐลอยตัวราคาน้ำตาลเป็นช่วงจังหวะที่ราคาน้ำตาลตลาดโลกตกต่ำส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับลดลงมาราว 2-3 บาท/กก. และทำให้ราคาหน้าโรงงานยืนระยะราคาเดิมอยู่ที่ 17.25 บาท/กก. และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ 18.25 บาท/กก.อยู่พักใหญ่ก่อนที่ราคาน้ำตาลตลาดโลกจะทยอยปรับขึ้นและโรงงานได้ปรับขึ้นน้ำตาลอีกครั้งประมาณ 1.75 บาท/กก.ก่อนที่ทางสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายจะออกประกาศเพื่อนำมาคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตปี 2565/66 เมื่อ 20 ม.ค. 66 ราคาน้ำตาลหน้าโรงงานน้ำตาลทรายขาว เป็น 19 บาท/กก. และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ เป็น 20 บาท/กก. นับเป็นการกลับไปยืนราคาเดิมก่อนลอยตัว

ดึงน้ำตาลกลับมาเป็นสินค้าควบคุมอีกครั้ง

ราคาน้ำตาลเริ่มขยับอีกครั้งหลังราคาตลาดโลกพุ่งสูงคิดกลับเป็นเงินไทยราว 26-27 บาท/กก. ทำให้ สอน.ต้องออกประกาศ เรื่อง ราคาน้ำตาลทรายภายในราชอาณาจักร เพื่อใช้ประกอบในการคำนวณราคาอ้อยและผลตอบแทนการผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ประจำฤดูการผลิตปี 2566/67 โดยขึ้นราคาหน้าโรงงาน 4 บาท/กก. เพื่อให้ประโยชน์นั้นตกถึงชาวไร่อ้อย ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายขาวและขาวบริสุทธิ์หน้าโรงงานขยับเป็น 23 และ 24 บาท/กก. มีผลวันที่ 28 ตุลาคม 2566 ส่งผลให้พาณิชย์เต้นและวิจารณ์ว่าเป็นการผลักภาระให้ผู้บริโภคและจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนราคาสินค้าที่ใช้น้ำตาลเป็นวัตถุดิบ  
 
คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่มี นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน จึงประชุมด่วนวันที่ 30 ตุลาคม 66 มีมติกำหนดให้สินค้าน้ำตาลทรายกลับมาเป็น “สินค้าควบคุม” ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 และกำหนดให้คงราคาน้ำตาลหน้าโรงงานดังเดิมและ ครม.เมื่อ 31 ต.ค. 66 ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ จากนั้น สอน.จึงต้องออกประกาศกลับไปใช้ราคาน้ำตาลหน้าโรงงานดังเดิม ซึ่งทำให้นักวิชาการออกมาติงว่านี่เป็นการดำเนินนโยบายแบบถอยหลังเข้าคลอง

เจรจาต่อรองขึ้นราคาน้ำตาลเป็น 2 บาท/กก.

ก่อนหน้านี้มีการปรับราคาน้ำตาลเป็น 4 บาท/กก. โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนแรก 2 บาท/กก. ประมาณ 5,000 ล้านบาท จะใช้คำนวณราคาอ้อยขั้นต้นในฤดูกาลผลิตใหม่ 2566/67 ในระบบแบ่งปันผลประโยชน์ 70 (ชาวไร่) : 30 (โรงงาน) ส่วนสอง อีก 2 บาทต่อกก. จะนำมาให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (กท.) กระนั้นท่าทีของกระทรวงพาณิชย์หลังมีการหารือกับชาวไร่อ้อยผ่านคณะทำงานบริหารความสมดุลในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเริ่มมีการเช็กต้นทุนและรับทราบปัญหาต่าง ๆ ของชาวไร่ ดูเหมือนว่าทางฝ่ายการเมืองเริ่มรับรู้ปัญหามากขึ้นและเริ่มมีการต่อรองถึงความเป็นไปได้ที่จะให้ขึ้นราคา 2 บาท/กก.เท่านั้น เพื่อให้สะท้อนข้อเท็จจริงและให้รายได้กลับมาสู่ระบบแบ่งปันที่ชาวไร่อ้อยควรจะได้รับ ส่วนเงินที่จะหักเข้ากองทุนอ้อยฯ เป็นอีกเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเพราะมองว่าการตัดอ้อยสดน่าจะเป็นเรื่องที่แยกออกมา 

จากรายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2566 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ปรับขึ้นราคาน้ำตาลทรายทั้งราคาส่งและขายปลีกเป็น 2 บาทต่อกิโลกรัม โดยให้ปรับราคาจำหน่ายหน้าโรงงาน ราคาน้ำตาลทรายขาว จากเดิม กิโลกรัมละ 19.00 บาท เป็น กิโลกรัมละ 21.00 บาท และน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ จากเดิม กิโลกรัมละ 20.00 บาท เป็น กิโลกรัมละ 22.00 บาท สำหรับราคาจำหน่ายปลีกเห็นควรมีราคากำกับดูแลที่เหมาะสม 

และทางครม.ได้อนุมัติงบประมาณ 8 พันล้านบาทเพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรตัดอ้อยสดมีคุณภาพและลดฝุ่น PM 2.5 ซึ่งเป็นไปตามพันธกรณีของ WTO ในข้อกำหนดการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (Green box) ด้านการเกษตร โดยไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตและราคาสินค้า ทางด้านชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินสนับสนุนในการตัดอ้อยสดตันละ 120 บาทในปีการผลิต 2565/66 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่เกษตรกรผู้ปลูกอ้อยที่ขึ้นทะเบียนเป็นชาวไร่อ้อยกับสอน. ซึ่งมีราว ๆ 140,000 ราย โดยจะเริ่มจ่ายเงินช่วยเหลือในเดือนมกราคม 67 เป็นต้นไป 

อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาน้ำตาลกลายเป็นสินค้าควบคุมแต่ข้อเท็จจริงลองไปสำรวจราคาต่างจังหวัดที่ไม่ใช่โมเดิร์นเทรด ราคาก็เกินควบคุมอยู่ดี เพราะนี่คือกลไกตลาดที่ยากจะคุมไปแล้วเมื่อราคาเพื่อนบ้านสูงกว่าพ่อค้าคนกลางก็ย่อมฉวยโอกาส อันนี้คือข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับ และหากการควบคุมนี้ ท่ามกลางกองทุนอ้อยยังคงไม่มีเงินสะสมไว้ดูแลสิ่งที่จะหวนกลับมาอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก เมื่อราคาอ้อยตกต่ำเราก็คงจะได้เห็นม็อบชาวไร่อ้อยมาเรียกร้องจากรัฐบาลในการช่วยเหลือให้คุ้มกับต้นทุนการผลิต 

แม้อ้อยจะมีกฎหมายที่ดีในการกำกับดูแล แต่ชาวไร่อ้อยส่วนใหญ่ก็ยังคงยากจนไม่ต่างจากพืชเกษตรตัวอื่น ๆ ที่ยังคงต้องเรียกร้องหาเงินงบประมาณในการสนับสนุนอยู่เรื่อยไป ท้ายสุดกลายเป็นการนำภาษีประชาชนมาจ่ายที่อาจไม่เป็นธรรมสำหรับคนที่ไม่ได้บริโภคน้ำตาล และขณะนี้ความจริงแล้วการบริโภคน้ำตาลของประชาชนส่วนใหญ่ลดลง เพราะมุ่งเน้นดูแลสุขภาพมากขึ้น แถมรัฐยังห่วงผู้บริโภคถึงขั้นเก็บภาษีความหวานกันจนทำให้สารทดแทนความหวานเติบโตไม่น้อยในช่วงที่ผ่านมา 

vulkan vegas, vulkan casino, vulkan vegas casino, vulkan vegas login, vulkan vegas deutschland, vulkan vegas bonus code, vulkan vegas promo code, vulkan vegas österreich, vulkan vegas erfahrung, vulkan vegas bonus code 50 freispiele, 1win, 1 win, 1win az, 1win giriş, 1win aviator, 1 win az, 1win azerbaycan, 1win yukle, pin up, pinup, pin up casino, pin-up, pinup az, pin-up casino giriş, pin-up casino, pin-up kazino, pin up azerbaycan, pin up az, mostbet, mostbet uz, mostbet skachat, mostbet apk, mostbet uz kirish, mostbet online, mostbet casino, mostbet o'ynash, mostbet uz online, most bet, mostbet, mostbet az, mostbet giriş, mostbet yukle, mostbet indir, mostbet aviator, mostbet casino, mostbet azerbaycan, mostbet yükle, mostbet qeydiyyat