นักวิชาการอินโดนีเซีย มีส่วนร่วม ช่วยพัฒนาพันธุ์อ้อยได้ดียิ่งขึ้น
ฟรานส์ มาร์กันดา ตัมบูนัน ประธานกรรมการ ID FOOD เชิญนักศึกษาและนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกษตรโบกอร์ (IPB) ให้มาพัฒนาพันธุ์อ้อยและโรงงานผลิตน้ำตาล เพื่อสนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลในการพึ่งพาตนเองด้านการบริโภคน้ำตาลในปี 2571 และอุตสาหกรรมน้ำตาลในปี 2573
ในระหว่างการบรรยายที่มหาวิทยาลัยเกษตรโบกอร์เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เขาตั้งข้อสังเกตว่าพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตน้ำตาลในปริมาณสูงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการได้โดยไม่ต้องพึ่งพานำเข้า
“นี่คือความต้องการของเราในการเชิญนักศึกษาและนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกษตรโบกอร์มา ประธานาธิบดีโจโก วีโดโด ได้ตั้งเป้าหมายว่าเราจะสามารถพึ่งพาตนเองในด้านการบริโภคและในอุตสาหกรรมน้ำตาลได้ในปี 2571 เราจึงต้องการพันธุ์อ้อยที่ดีกว่าเดิม” เขาเน้นย้ำ
ตัมบูนันเผย ประธานาธิบดีระบุว่ารัฐบาลกำลังเตรียมพื้นที่ปลูกอ้อย 700,000 เฮกตาร์เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพึ่งพาตนเองด้านน้ำตาลในอีก 5 ปีข้างหน้า
ID FOOD ที่อยู่ภายใต้รัฐบาลกล่าวว่า ได้มีการวางแผนกระจายพื้นที่ปลูกอ้อยไปทั่วทุกภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศแล้ว
ประธานาธิบดีโจโก วีโดโด ยังแสดงความคิดเห็นว่ามีอ้อยสายพันธุ์ใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งจะสามารถช่วยเพิ่มกำลังการผลิตได้
การปลูกอ้อยสายพันธุ์ใหม่ใน 26 วันให้ผลผลิตที่ดีและดีกว่าสายพันธุ์บราซิลอีกด้วย ตัมบูนันกล่าว
และกล่าวเพิ่มเติม ตามทิศทางของรัฐมนตรีรัฐวิสาหกิจ เอริค โธเฮียร์ ID FOOD และหุ้นส่วนอื่น ๆ จำเป็นต้องจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาเกษตรกรชาวอินโดนีเซียเพื่อให้บรรลุความมั่นคงด้านอาหาร

ID FOOD สามารถตอบสนองความต้องการน้ำตาลในประเทศได้ร้อยละ 12 ผ่านบริษัทในเครือ อย่างไรก็ตามยังต้องเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อเปลี่ยนการนำเข้าน้ำตาลร้อยละ 30 เป็นการผลิตจากในประเทศให้ได้ ตัมบูนันกล่าว
เขามองในแง่ดีว่าบริษัทจะประสบความสำเร็จในการทำตามความต้องการนี้ อ้างอิงจากประวัติศาสตร์ในปี 2533 เมื่ออินโดนีเซียกลายเป็นประเทศส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ที่สุดของโลก
ปัจจุบัน การผลิตน้ำตาลของประเทศสามารถพัฒนาให้ดีขึ้นได้ด้วยการพัฒนาอ้อยสายพันธุ์ใหม่ โดยใช้ทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสามารถและได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาพัฒนาในส่วนนี้
“เราต้องการที่ดินและการปรับปรุงคุณภาพเพิ่มเติม ดังนั้นจึงต้องการให้มหาวิทยาลัยเกษตรโบกอร์เข้ามามีบทบาท นอกจากนี้ความท้าทายอีกประการหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือสภาพอากาศ เราจึงต้องการสายพันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศด้วยเช่นกัน”
อารีฟ ปราเซตโย อาดีย์ หัวหน้าสำนักงานอาหารแห่งชาติอินโดนีเซียระบุว่า ได้ดำเนินการจัดหาน้ำตาลเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนแล้ว
จากการคำนวณสมดุลสินค้าโภคภัณฑ์อาหารในปี 2566 ในประเทศมีความต้องการน้ำตาลอยู่ที่ 3.4 ล้านตัน โดยมีการผลิตภายในประเทศอยู่ราว ๆ 2.6 ล้านตัน
นอกจากนี้ยังคงมีปริมาณน้ำตาลสำรองตั้งแต่ปี 2565 จำนวน 1.1 ล้านตัน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดหาน้ำตาลอีก 900,000 ตันในช่วงปลายปีเพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลสำรองไว้