สหภาพยุโรปตั้งเป้าลงทุนในภาคการเกษตรฟิลิปปินส์
ธุรกิจในยุโรปกำลังมองแสวงหาการลงทุนในภาคเกษตรกรรมของฟิลิปปินส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสนับสนุนนวัตกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน
กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ (DA) ได้หารือกับผู้แทนสภาธุรกิจสหภาพยุโรป-อาเซียน (EU-ABC) และหอการค้ายุโรปแห่งฟิลิปปินส์ (ECCP) ในความสนใจร่วมกันพัฒนาการเกษตร การค้าและการลงทุนต่างประเทศ การผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโต และในด้านอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการร่วมมือกัน
“ธุรกิจในยุโรปเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืนในด้านการเกษตร และเรายินดีที่จะแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและความเชี่ยวชาญเหล่านี้เพื่อสนับสนุนการเติบโตและความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องของภาคเกษตรกรรมในฟิลิปปินส์” ทัสซิโล บรินเซอร์ (Tassilo Brinzer) รองประธาน EU-ABC กล่าว
โดยใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของยุโรปในด้านการจัดการธุรกิจการเกษตร วิธีการทำฟาร์มแบบยั่งยืน และการเข้าถึงตลาด เขากล่าวว่า EU-ABC จะช่วยยกระดับความเป็นอยู่ของเกษตรกรชาวฟิลิปปินส์และช่วยลดความยากจนในพื้นที่ชนบทได้
ฟลอเรียน กอทเทน (Florian Gotten) กรรมการบริหาร ECCP กล่าวว่าการเติบโตและศักยภาพของฟิลิปปินส์นั้นเป็นผลมาจากโรดโชว์ของฝ่ายบริหารของประเทศชุดนี้เพื่อเชิญชวนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในฟิลิปปินส์
“ตอนนี้ฟิลิปปินส์เป็นที่รู้จักแล้ว และผมคิดว่านี่คือยุคใหม่ ยุคทองของการลงทุนในฟิลิปปินส์ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะได้เห็นบริษัทในยุโรปมาลงทุนที่นี่มากขึ้น สนับสนุนความพยายามของฝ่ายบริหารของประเทศ และอาจถือได้ว่าเป็นการทำงานร่วมกันเพื่อนำพาภาคการเกษตรกรรมของฟิลิปปินส์ก้าวไปสู่อีกระดับ” ฟลอเรียน กอทเทน กล่าว
โดมิงโก ปังกานิบัน (Domingo Panganiban) ปลัดอาวุโสของกระทรวงเกษตร กล่าวขอบคุณคณะผู้แทนยุโรปที่ให้ความสนใจที่จะร่วมมือกับรัฐบาลฟิลิปปินส์เพื่อความก้าวหน้าของภาคเกษตรกรรมและประมง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ไม่เพียงแต่กับฟิลิปปินส์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่น ๆ อีกด้วย
ในระหว่างการประชุมนั้น กระทรวงเกษตรฟิลิปปินส์ได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการจัดการกับความกังวลในอุตสาหกรรมน้ำตาล ซึ่งรวมถึงอุปทานและราคาที่สูง
ปาโบล หลุยส์ อัซโคนา (Pablo Luis Azcona) ประธานคณะกรรมการองค์กรกำกับดูแลน้ำตาลแห่งชาติฟิลิปปินส์ (SRA) กล่าวว่า SRA กำลังผลักดันให้มีการทำไร่อ้อยแบบบล็อกบนพื้นที่ราว 190 ไร่เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำตาลในประเทศ และจากการประเมินเบื้องต้นกับฟาร์มแปลงอ้อยที่มีอยู่แสดงให้เห็นว่าผลผลิตดีขึ้น “5 ถึง 10 ตันต่อเฮกตาร์” (6.25 ไร่)
“เราจำเป็นต้องผลิตให้ได้ราว 2.4 ถึง 2.5 ล้านเมตริกตันจึงจะเรียกว่าสามารถพึ่งพาตนเองได้ ดังนั้นเป้าหมายคือจะการทำให้เกษตรกรปรับปรุงการผลิตได้อย่างไร” อัซโคนากล่าว
“นั่นคือเหตุผลที่เราต้องให้เกษตรกรรายย่อยมารวมตัวกันเป็นสหกรณ์และให้ความช่วยเหลือในสิ่งที่พวกเขาต้องการทั้งหมด”
และเสริมอีกว่าการทำฟาร์มแบบบล็อกเหมาะสมอย่างยิ่งในแง่ของการได้รับสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรัฐบาลกำลังจัดหาพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตสูงแก่เกษตรกรท้องถิ่น