อินเดียร่างแผนกฎการใช้รถยนต์ กระตุ้นการผสมเอทานอลในน้ำมัน
อินเดียมุ่งเป็นประเทศที่บรรลุเป้าหมายการผสมเชื้อเพลิงเอทานอล 10 เปอร์เซ็นต์ ในน้ำมันเบนซิน (E10) ภายในปี 2565 ทำให้อาจต้องมีการปรับเปลี่ยนข้อกฎหมายบางอย่างสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ รวมถึงปัญหาสำคัญอื่นๆ ที่อาจจะกระทบเป้าหมายถัดไป ซึ่งคือน้ำมัน E20 ในปี 2573
กระทรวงคมนาคมของอินเดีย ได้เชิญชวนให้ประชาชนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนกฎรถยนต์ เพื่อรองรับการผสมเอทานอลให้สูงขึ้นในน้ำมันเบนซิน ซึ่งถ้าดูจากแบบร่างที่แก้ไขแล้วเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา การปรับเปลี่ยนครั้งนี้ ต้องเป็นหน้าที่ของผู้ผลิตรถยนต์ในการปรับให้น้ำมันเบนซิน E20 E85 หรือ E100 เข้ากันได้กับเครื่องยนต์ใหม่
การเดินหน้าของรัฐบาลกลางครั้งนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการใช้เชื้อเพลิงเอทานอล เพราะในปีนี้ จะมีการประกาศปล่อยมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (soft loan) ของธนาคาร มูลค่า 2.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมไปถึงดอกเบี้ยเงินอุดหนุนสำหรับโรงกลั่นเอทานอลใหม่ และช่วยสนับสนุนราคาอ้อย หรือวัตถุดิบอื่นๆ ที่ได้รับอนุมัติเพิ่มเติม เพื่อนำไปผลิตเอทานอลสำหรับโรงงานที่เปิดมานาน
เมื่อเดือนเมษายนและกันยายนที่ผ่านมา วัตถุดิบทางการเกษตรที่มีปริมาณล้นตลาดอย่าง ข้าวและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ จะถูกเพิ่มเข้าไปในรายการผลิตเอทานอล รวมไปถึงวัตถุดิบที่มาจากอ้อย เช่น กากน้ำตาลประเภท B กากน้ำตาลประเภท C น้ำอ้อย และธัญพืชบางประเภท แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศยังมีแนวโน้มในข้อกังวลของความมั่นคงวัตถุดิบต่างๆ ซึ่งนั่นอาจทำให้การผลิตเอทานอล อาจถูกจำกัดด้วยเหตุผลนี้ นอกเหนือรัฐที่มีการผลิตอ้อยอยู่แล้ว
ในปีการตลาด 2563 เดือนธันวาคม จนถึงพฤศจิกายน ปี 2564 อุปทานของปริมานน้ำมัน E10 พบว่ายังขาดแคลนจากปัญหาด้านเงินทุนเป็นสำคัญ ทำให้บรรดาบริษัทโรงกลั่นน้ำมันและการตลาด ได้ยื่นมือเข้ามาเป็นผู้จัดหาเชื้อเพลิงในปริมาน 2 ล้านลิตร ในปี 2563-2564 เมื่อเดือนพฤศจิกายน จากก่อนหน้านี้ที่มีการประมูลในปริมาน 3.6 ล้านลิตร ตามรายงานของสมาคมโรงงานน้ำตาลอินเดีย นั่นอาจทำให้อัตราการผสมเป็น 7-8 เปอร์เซ็นต์ ตามปริมานน้ำมันเบนซินที่มีอยู่
อุปสรรคสำคัญของผู้ผลิตน้ำตาลและเอทานอล คือ การเข้าถึงเงินทุน สี่สิบถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของโรงงานน้ำตาลพบว่ายังไม่ได้รับการอนุมัติเพื่อเข้าถึงเงินกู้สำหรับโครงการโรงกลั่นใหม่ เพราะปัญหามาจากงบการเงินอ่อนแอ ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาที่ตกลงกับธนาคาร รัฐบาล และบริษัทน้ำมันไว้แล้วก็ตาม นอกจากนี้ ปัญหาผลการดำเนินงานทางการเงินที่อ่อนแอของโรงงานน้ำตาล ที่เกิดจากปริมาณน้ำตาลล้นมานานหลายปี จนไม่สามารถแข่งขันในตลาดโลก ทำให้โครงการเอทานอล คือ กุญแจสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ได้
ตอนนี้ งบการเงินของโรงงานน้ำตาล มีแนวโน้มที่จะเเย่ลงในปีการตลาดนี้ ด้วยอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซา อีกทั้งการไม่ได้ประกาศมาตรการราคาน้ำตาลในโรงงานจากรัฐบาล ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ จะเคยมีการขึ้นราคาอ้อย โดยโรงงานจะต้องจ่ายเงินให้เกษตรกร 10 รูปี ต่อ 100 กิโลกรัม เป็น 285 รูปี ต่อ 100 กิโลกรัม (39 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน)
ผู้เกี่ยวข้องในตลาดหลายท่าน คาดว่า แรงผลักดันในการสร้างพลังงานรถยนต์ไฟฟ้า เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพระดับกลาง สำหรับการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์จากการขนส่งทางถนน ทำให้น่าจะเป็นวิธีที่ดีกว่าผลักดันการผสมเชื้อเพลิงเอทานอลให้สูงขึ้น ถึงแม้ว่า จะต้องมีการขยายโครงสร้างพื้นฐานสถานีชาร์จไฟเพิ่ม ซึ่งในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา รัฐบาลได้ยุติการการพิจารณาสร้างและดำเนินการติดตั้งจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จำนวนขั้นต่ำ 1,544 แห่ง รวมระยะทาง 15,145 กม. บนทางด่วนและทางหลวงทั่วประเทศ โดยมีการอนุมัติสถานีชาร์จไปเเล้วในเมือง จำนวน 2,877 ตั้งเเต่ปี 2562