เปลี่ยนคาร์บอนเป็นเชื้อเพลิงกำลังกลายเป็นธุรกิจใหม่ของโลก
ผลการศึกษาจากนักวิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียแห่งลอสเองเจลลิส มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด และอีก 5 สถาบันชั้นนำ ระบุว่าการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ให้กลายเป็นสินค้าเชิงพาณิชย์ อย่างเชื้อเพลิง หรือ วัสดุก่อสร้างกำลังกลายเป็นอุตสาหกรรมใหม่ของโลก
ผลการวิจัยนี้ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารเนเจอร์ นิตยสารเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลก ระบุว่ามีการใช้คาร์บอนไดออกไซด์โดยเฉลี่ยประมาณ 0.5 กิกะตันต่อปีก่อนปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ (1ตัน หรือ เมทริกซ์ตัน เท่ากับ 1,000 กิโลกรัม และ กิกะตันเท่ากับ 1ล้านล้านตัน หรือประมาณ 1.1 ล้านยูเอสตัน)
คาร์เมรอน เฮปเบิร์น หนึ่งในทีมวิจัย ผู้อำนวยการสำนักผู้ประกอบการและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า “การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จเพื่อความมั่นคงของสภาพภูมิอากาศ แต่เนื่องจากเราไม่สามารถลดการปล่อยก๊าซลงได้มากพอ เราจึงเริ่มคิดถึงการดึงเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ ซึ่งรัฐบาลและภาคธุรกิจได้เบนเข็มมาทางนี้ แต่ก็ยังไม่รวดเร็วเท่าที่ควร
ความสำเร็จของเทคโนโลยีนี้อยู่ที่การวิเคราะห์ถึงผลกระทบในภาพรวมของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มีผลต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งผลกระทบบางประการสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นโมเดลทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่น ในการผลิตพลาสติกบางชนิด จะใช้คาร์บอนไดออกไซด์เป็นองค์ประกอบเพื่อเพิ่มสัดส่วนกำไรและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มสัดส่วนการใช้คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึงสามเท่าจากเดิม
อีกหนึ่งงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดและ SLAC กำลังวิจัยเรื่องการเปลี่ยนคาร์บอนให้เป็นเชื้อเพลิงและสารเคมีตั้งต้น เปลี่ยนก๊าซเรือนกระจกให้เป็นสินค้ามีมูลค่า ซึ่งพวกเขาเรียกว่าการเปลี่ยนเคมีไฟฟ้า เมื่อใช้พลังงานทดแทนจะช่วยลดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศและสามารถเก็บพลังงานในรูปแบบที่ต้องการใช้งานได้ตลอดเวลา
การเปลี่ยนคาร์บอนเป็นสินค้าอื่นๆ พวกเขาอธิบายเพิ่มเติมว่าพืชใช้พลังงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนคาร์บอนในอากาศสังเคราะห์คาร์บอนในเซลล์ของพืช เฉกเช่นเดียวกัน เราจะต้องสรรหาเทคโนโลยีที่เปลี่ยนคาร์บอนมาเป็นสินค้าให้ได้อย่างพืชและลม วิธีการหนึ่งที่จะทำได้คือการเปลี่ยนเคมีไฟฟ้าเพื่อลดคาร์บอน
ทองแดงเป็นสร้างตั้งต้นที่ทำหน้าที่ให้ส่วนประกอบทางเคมีทั้งหมดเกิดปฏิกิริยา กล่าวอย่างง่ายคือ ปฏิกิริยาเริ่มต้นนี้จะดึงอะตอมออกซิเจนออกจากคาร์บอนทำให้เกิดคาร์บอนโมโนไซด์ ซึ่งคาร์บอนโมโนไซต์นี้เป็นสารเคมีในภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญอยู่แล้ว จากนั้นปฏิกิริยาเคมีไฟฟ้าจะเปลี่ยนคาร์บอนโมโนไซต์ให้เป็นโมเลกุลสำคัญๆ เช่น แอลกอฮอล์ เชื้อเพลิง และอื่นๆ
และเป็นวิธีการหนึ่งที่จะสร้างสินค้าที่มีมูลค่าอย่างเอธิลีน ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อผลิตแอลกอฮอล์ โพลิอิสเตอร์ พลาสติกและยางสังเคราะห์ ซึ่งมีมูลค่าการตลาดอยู่ที่ราวๆ 230 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปัจจุบัน การเปลี่ยนคาร์บอนมาเป็นสารตั้งต้นในการผลิตเอธิลีนสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ประมาณ 860 ล้านเมตทริกซ์ตันต่อปี ภาคอุตสาหกรรมสามารถใช้คาร์บอนบริสุทธิ์ที่ปล่อยจากโรงกลั่น โรงงานผลิตปูนซีเมนต์ โรงผลิตเหล้ามาผลิตสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งทุกๆ ประเทศสามารถทำได้เอง พัฒนาเทคโนโลยีที่จำเป็น ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี วิธีการใหม่นี้จึงเป็นกระบวนการที่สร้างโอกาสในการเปลี่ยนโลกได้.