ไทยสร้างต้นแบบชุมชนไร้ควัน รักษาสิ่งแวดล้อมขับเคลื่อนการเกษตรอย่างยั่งยืน
จากความร่วมมือในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชุมชนของชาวอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กลายเป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้าง “ต้นแบบชุมชนไร้ควัน” ขนาดใหญ่
ที่ช่วยส่งเสริมการทำเกษตรแบบยั่งยืน รณรงค์ให้เกษตรกรชาวไร่ตัดออยสดเข้าหีบส่งให้กับโรงงาน เพื่อแก้ไขปัญหาอ้อยเผาไหม้ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มมูลค่าของอ้อย และส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืนอีกด้วย
นายสมชัย กิจเจริญรุงโรจน์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เผยว่า “จังหวัดตากส่งเสริมการปลูกอ้อยให้กับประชาชนในหลายพื้นที่ ให้เป็นอาชีพกสิกรรมที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิต ชุมชน สังคม และเศรษฐกิจของจังหวัดในอำเภอแม่สอดที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ปลูกอ้อยเป็นพืชพลังงาน โดยมีนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรตัดอ้อยสด งดการเผาไหม้อ้อย โดยการทำงานร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่น โรงงาน ชุมชน และพี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อย ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมาย ให้ทางอำเภอ ผู้ใหญ่บ้าน กวดขันดูแลพื้นที่การเกษตรอย่างเข้มข้น ซึ่งได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากเกษตรกร ส่งผลให้ขณะนี้พื้นที่อำเภอแม่สอดตัดอ้อยสดสะอาดเข้าหีบแล้วกว่า 98%”
ด้าน นายชัยพฤกติ์ เชียรธานรักษ์ นายอำเภอแม่สอด ชี้แจงเพิ่มเติมว่า “การสร้างทัศนคติ ความเข้าใจ และกำหนดเป้าหมายร่วมกันของคนในพื้นที่แม่สอดที่ต้องการชุมชนที่สะอาด ปลอดภัย แม้จะมีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้งอยู่ จึงเกิดความร่วมมืออย่างจริงจังที่จะทำให้อำเภอแม่สอดเป็นแหล่งเกษตรกรรมที่สะอาด และไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม”
ในส่วนของผู้นำชุมชน และชาวบ้านอำเภอแม่สอดก็มีความคิดเห็นที่ตรงกับหน่าวยงานภาครัฐ และเอกชนในการดำเนินโครงการ ซึ่งนายนพพร อุปรี ผู้นำชุมชนและชาวไร่อ้อยในตำบลแม่กาษา อำเภอแม่สอด หนึ่งในชาวไร่อ้อยต้นแบบที่ให้ความสำคัญกับการตัดอ้อยสด ได้ร่วมรณรงค์สนับสนุนนโยบายภาครัฐเพื่อให้มีการตัดอ้อยสดสะอาดในหมู่บ้าน และยังได้นำองค์ความรู้เกี่ยวกับการทำไร่อ้อยสมัยใหม่มาปรับใช้ในพื้นที่ไร่อ้อยกว่า 300 ไร่ของตน รวมถึงยังได้ถ่ายทอดแนวทางให้กับคนในหมู่บ้านอีกด้วย
ทั้งนี้นายนพพร กล่าวว่า “ตั้งแต่ทำไร่อ้อยมากว่า 10 ปี ผมตัดอ้อยสดมาตลอด ไม่เคยคิดที่จะเผา ก่อนหน้านี้เคยใช้แรงงานคนตัด แต่หลายปีมานี้ได้เปลี่ยนมาใช้รถตัดแทนหลังจากได้รับการสนับสนุนจากโรงงานในการแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน ซึ่งทำให้สามารถตัดอ้อยได้สะดวกรวดเร็ว ได้อ้อยที่น้ำหนักดี หน้าดินไม่เสียหาย สามารถรักษาความชื้นของดินไว้ได้ และที่สำคัญ พี่น้องในชุมชนของเราก็จะมีสุขภาวะที่ดี อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี ทำเกษตรกรกรรมกันต่อไปได้อย่างยั่งยืน หลายคนอาจมองว่าการเผาอ้อยอาจจะทำให้เก็บเกี่ยวได้รวดเร็วและลดค่าใช้จ่ายได้ แต่อันที่จริงแล้ว การเผาอ้อยมีผลเสียมากกว่า แทบไม่ได้ช่วยลดต้นทุนเลย เพราะเมื่อเผาเสร็จแล้ว จะมีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาดินตามมาอีกมาก ในฐานะผู้นำชุมชนผมก็พยายามสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับพี่น้องชาวไร่มาโดยตลอด”
เช่นเดียวกับนายสมทรง เฮิงโม ชาวไร่อ้อยที่ปลูกและตัดอ้อยโดยใช้แรงงานตัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบันก็ยังคงใช้แรงงานในการตัดอ้อย 30 กว่าไร่มาโดยตลอด ได้กล่าว่า “ผมตัดอ้อยสดมาตลอด ไม่เคยเผาเลยซึ่งการตัดอ้อยสดก็ดีต่อสุขภาพของตัวเองและคนอื่นๆ ในชุมชน ราคาก็ดีกว่า แถมใบอ้อยที่เหลือในแปลงหลังจากตัดแล้ว ก็ยังช่วยรักษาหน้าดิน และเมื่อย่อยสลายแล้วก็จะกลายเป็นปุ๋ยบำรุงดินด้วย ช่วยลดต้นทุนค่าบำรุงดินและกำจัดวัชพืชลงได้มาก หลายคนบอกว่าอ้อยสดตัดยาก แต่ผมมองว่าไม่ต่างกัน อ้อยไฟไหม้จะเหนียว มีฝุ่นฟุ้ง ไม่ได้ตัดง่าย และที่สำคัญตัดอ้อยสดหรือเผา แรงงานก็คิดราคาค่าตัดเท่ากัน แต่อ้อยที่ตัดสดจะได้ราคาดีกว่า ผมจึงอยากให้พี่น้องชาวไร่อ้อยทุกคนหันมาตัดอ้อยสดกัน เพราะดีต่อสุขภาพของทุกคนในชุมชน ทั้งยังประหยัดและได้ราคาดีกว่าด้วย”
หรือแม้แต่ชาวไร่อ้อยรุ่นใหม่อย่างนายณัฐพงศ์ พูลเพิ่ม ก็ยังมีการปรับรูปแบบแปลงอ้อยกว่า 80 ไร่ของตนให้เหมาะสมกับการเก็บเกี่ยวด้วยรถตัด ได้เปิดเผยว่า “ผมทำไร่อ้อยมา 8 ปีแล้ว ไม่เคยเผา และได้ผลผลิตที่สดน้ำหนักดีมาตลอด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะโรงงานที่รับซื้ออ้อยได้เข้ามาช่วยเหลือหลายๆ อย่าง ทั้งปัจจัยการผลิต การกำจัดศัตรูพืช การเก็บเกี่ยว และอุปกรณ์เครื่องจักรต่างๆ ทางโรงงานได้เข้ามาให้คำแนะนำอยู่เสมอและยังช่วยปรับแปลงอ้อยทั้งหมดของผมให้สามารถใช้รถตัดได้ ทำให้ช่วยประหยัดต้นทุน ประหยัดแรงงาน และไม่มีความจำเป็นต้องเผาไร่เพื่อเก็บเกี่ยว ปัญหาเรื่องมลพิษจากการเผาอ้อยจึงไม่มี ผมรู้สึกภูมิใจมากที่ได้ช่วยชุมชนลดมลพิษฝุ่นควัน”
ขณะที่ นายสมคิด แจ่มจำรัส ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายไร่ โรงงานแม่สอดพลังงานสะอาด กล่าวว่า “สำหรับการส่งเสริมการปลูกอ้อยในพื้นที่อำเภอแม่สอด มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตพลังงานทดแทน ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ตาว และได้มีการจัดตั้งโรงงานผลิตเอทานอล เพื่อนำวัตถุดิบอ้อยเข้าสู่กระบวนการผลิตพลังงานทดแทนเป็นเอทานอลที่มีความบริสุทธิ์ร้อยละ 99.5 นอกจากนั้น ยังมีการผลิตไฟฟ้าจากชานอ้อย ซึ่งเป็นการนำผลพลอยได้จากการผลิตกลับมาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่าในรูปแบบของเชื้อเพลิงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป้าหมายในการผลิตเอทานอล ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท แม่สอดพลังงานสะอาด จำกัด ปัจจุบัน มีอัตราการผลิตเอทานอล 240,000 ลิตรต่อวัน สามารถรองรับผลผลิตอ้อยในพื้นที่ได้ปริมาณ 700,000 ตันต่อปี และโรงงานฯ ได้ดำเนินการส่งเสริมการปลูกอ้อยและการตัดอ้อยสด มาตลอดระยะเวลากว่า 10 ปี ด้วยการนำเทคโนโลยีและการจัดการในไร่อ้อยมาใช้อย่างเป็นระบบให้เหมาะสมกับศักยภาพของท้องถิ่น โดยเฉพาะการส่งเสริมให้ตัดอ้อยสด อาทิ การถ่ายทอดองค์ความรู้และอบรมเรื่องประโยชน์และวิธีการตัดอ้อยสดให้กับชาวไร่ การสนับสนุนการใช้เครื่องจักรการเกษตรขนาดใหญ่เช่น รถตัดอ้อย รวมถึงการปรับรูปแบบแปลงให้เหมาะสมกับรถตัด การตรวจวัดและติดตามคุณภาพการตัดอ้อยสดในแปลง การรณรงค์ และประชาสัมพันธ์ชาวไร่เรื่องการตัดอ้อยสดร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ ระดับจังหวัดและท้องถิ่น”
ด้านสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นอีกภาคส่วนหนึ่งที่กำลังเร่งผลักดันมาตรการแก้ปัญหาการเผาอ้อยในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย กล่าวว่า “เราได้มีโอกาสลงมาดูต้นแบบความสำเร็จในการลดอ้อยไฟไหม้ที่แม่สอด จะเห็นได้ว่าจากเดิมที่พื้นที่อำเภอแม่สอดเองก็มีปัญหาเรื่องการเผาอ้อยเพื่อเก็บเกี่ยว แต่วันนี้ทุกภาคส่วนสามารถจัดการแก้ไขปัญหาให้ลดลงได้แล้ว สิ่งที่เห็นได้ชัดคือความร่วมมือทั้งจากฝั่งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคมและชุมชน สะท้อนให้เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หากทุกคนร่วมมือกันอย่างเข้มแข็ง แม้พื้นที่แม่สอดจะยังมีจำนวนอ้อยไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่นๆ แต่เราเชื่อว่าเกษตรกรชาวไร่อ้อยเห็นความสำคัญร่วมกันในเรื่องการงดเผาอ้อย ส่วนหนึ่งมาจากการกระตุ้นจากทางฝ่ายโรงงาน ที่ได้ส่งเสริมความรู้ ชี้แจงถึงผลกระทบ และอีกฝ่ายหนึ่งที่สำคัญคือหน่วยงานภาครัฐ ที่ได้เข้ามากำหนดมาตรการควบคุมที่ชัดเจนและเคร่งครัด ทั้งนี้ ทางสอน. จะนำเอาแนวทางของแม่สอดโมเดลไปปรับใช้ในอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของไทย เพื่อช่วยลดปัญหาอ้อยไฟไหม้ และสร้างความยั่งยืนให้กับพี่น้องเกษตรกรต่อไป”
จากความร่วมมือในการผลักดัน เพื่อพัฒนาโครงการดังกล่าวของทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และคนในชุมชน ส่งผลให้ในปัจจุบันพื้นที่ในอำเภอแม่สอดสามารถลดอัตราอ้อยเผาไหม้ได้เกือบทั้งหมด เพิ่มอัตราการตัดอ้อยสดส่งเข้าสู่โรงงานได้ถึง 98% กลายเป็นแหล่งวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิตเอทานอล พลังงานทดแทนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และคนในชุมชน