ไนจีเรียลงนามข้อตกลงก่อตั้งสถาบันน้ำตาลร่วมกับอินเดีย
สถาบันน้ำตาลแห่งชาติอินเดียและสภาพัฒนาน้ำตาลแห่งชาติไนจีเรีย ได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจในการตั้งสถาบันน้ำตาลโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพและศักยภาพแก่อุตสาหกรรมน้ำตาลตามแผนแม่บทน้ำตาลแห่งไนจีเรีย
บันทึกความเข้าใจนี้ (MoU) ลงนามโดยเลขานุการบริหารของสถาบันน้ำตาลแห่งชาติอินเดีย ดร. ลาทิฟ บูซารี และเลขาธิการของสภาพัฒนาน้ำตาลแห่งชาติไนจีเรีย นายนเรนดรา โมฮาน ณ คณะกรรมาธิการชั้นสูงของอินเดียในเมืองอบูจา โดยนายลาทิฟกล่าวว่าความร่วมมือครั้งนี้จะช่วยชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการบังคับใช้แผนแม่บทน้ำตาลของไนจีเรียซึ่งประกาศใช้แล้วเมื่อหกปีก่อน
นายลาทิฟกล่าวเพิ่มเติมว่าความท้าทายประการหนึ่งคือการขาดทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญเพื่อบริหารโรงงานผลิตน้ำตาล เนื่องจากแผนแม่บทของไนจีเรียนั้นเริ่มมาประมาณหกหรือเจ็ดปีแล้ว แต่ยังคงเกิดการขาดแคลนแรงงานด้านเทคนิคอย่างรุนแรงอยู่ หากต้องการประสบความสำเร็จในการตั้งโรงงานน้ำตาล โรงงานเหล่านั้นจะพบว่ามีการขาดการบริหารจัดการทั้งภายในโรงงานและไร่อ้อย
“ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีความจำเป็นต้องตั้งสถาบันที่สามารถพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการในโรงงานน้ำตาลในไนจีเรีย เมื่อเราตัดสินใจแล้ว เราจึงเริ่มค้นหาขุมความสามารถด้านประสบการณ์ที่ประเทศอื่นๆมีอยู่แล้ว เราไม่จำเป็นต้องคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ แต่มองไปรอบๆตัวและพบสถาบันอยู่สองแห่ง หนึ่งในนั้นคือสถาบันน้ำตาลแห่งชาติในเมืองคานปูร์ของอินเดีย และสิ่งที่ท่านเห็นในวันนี้คือผลลัพธ์ของการพูดคุยหารือกันในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา” นายลาทิฟแถลงต่อสื่อมวลชน
เมื่อก่อตั้งเสร็จแล้ว อุตสาหกรรมน้ำตาลของไนจีเรียจะได้รับประโยชน์จากตลาดที่กว้างขวางขึ้น เนื่องจากแผนแม่บทน้ำตาลของไนจีเรียจะกำหนดปัจจัยเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและพลังงานที่ต้องใช้ภายในประเทศ โดยสามารถผลิตกำลังไฟฟ้าได้ถึงกว่า 400 เมกาวัตต์และผลิตเอทานอลได้มากกว่า 160 ล้านลิตร ในการบังคับใช้แผนแม่บทนี้ จำเป็นต้องใช้ตกลงเพื่อตั้งสถาบันในเมืองควารา
“ดังนั้น ในขั้นแรก เราจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับการสกัดอ้อยเป็นน้ำตาล เช่น ประเภทของห้องปฏิบัติการ เครื่องมือต่างๆ เป็นต้น ในขั้นที่สอง จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการฝึกอบรมเพราะยังไม่เคยมีสถานที่ฝึกอบรมด้านนี้อย่างเป็นทางการในปัจจุบัน และเราจะเริ่มขั้นตอนการฝึกอบรมก่อนจะจำแนกแผนกฝึกอบรม โดยอนุญาตให้มีเพียงผู้เข้ารับการฝึกอบรมสิบคนต่อหนึ่งแผนกในสภาพัฒนาน้ำตาลแห่งชาติไนจีเรีย ขั้นตอนที่สามซึ่งมีความสำคัญ เนื่องจากไนจีเรียมีโรงงานน้ำตาลน้อยและเกิดช่องว่างของอุปสงค์น้ำตาล ดังนั้น การสร้างสมรรถภาพคืออีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็น เราจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้และชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการดำเนินการตั้งสถาบันนี้อย่างราบรื่น” นายลาทิฟอธิบาย
นายอับเฮย์ ฐากูร กรรมาธิการอาวุโสชาวอินเดียในไนจีเรียกล่าวเสริมว่า อินเดียมีโปรแกรมการสร้างสมรรถภาพในไนจีเรียมาเป็นเวลานาน หนึ่งในโปรแกรมนั้นมีการดำเนินงานเมื่อมีการตั้งสถาบันกลาโหมแห่งไนจีเรียในรัฐคาดูนาเมื่อ 50 ปีก่อน ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาคนแรกของสถาบันนี้จึงเป็นทหารชาวอินเดียยศนายพลจัตวา (ยศทางทหาร) ที่โด่งดังและมีบันทึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ของไนจีเรีย รวมทั้งวิทยาลัยกลางในเมืองพอร์ท ฮาร์คอร์ท ตั้งขึ้นโดยได้รับความช่วยเหลือจากทหารเรือชาวอินเดียและมี “โปรแกรมการพัฒนาสมรรถภาพอย่างครอบคลุม” ที่อินเดียนำมาเผยแพร่อย่างเชี่ยวชาญ
ภายใต้โปรแกรมสร้างสมรรถภาพทางเทคโนโนโลยีขั้นสูงของอินเดียในช่วงสามปีที่ผ่านมา มีชาวไนจีเรียจำนวน 529 คนได้เข้ารับการฝึกอบรมในสถาบันหลายแห่งของอินเดียในสาขาต่างๆ เช่น การจัดการทางการเงิน ระบบสารสนเทศ เกษตรกรรม ความมั่นคงและพลังงานแสงอาทิตย์ รวมทั้งการแพทย์ จึงถือเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนานระหว่างสองประเทศในการผสานประโยชน์จากความร่วมมือนี้