KSL ขยายกำลังการผลิต สร้างโรงงานน้ำตาลใหม่ และผลักดันองค์กรสู่ Net Zero
อุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายเป็นอุตสาหกรรมที่มีความผันผวนสูง ทั้งจากราคาที่ต้องอ้างอิงตลาดโลก รวมถึงการที่ต้องพึ่งพาฝนจากธรรมชาติ นั่นจึงทำให้ในทุก ๆ ปี การบริหารจัดการอ้อยและน้ำตาลทรายจึงเป็นสินค้าที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ซึ่งในปีนี้ช่วงต้นหลายคนกังวลต่อสถานการณ์เอลนีโญที่ภัยแล้งจะกระทบผลผลิต แต่มาถึงกลางปีสัญญาณการเกิดลานีญาก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น ขณะที่ต้นทุนวัสดุทางการเกษตรก็ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนปัญหาการกีดกันทางการค้าต่าง ๆ ทำให้ผลผลิตปลายน้ำที่ออกมาในรูปแบบของน้ำตาลยังต้องแข่งขันกับต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันจากความท้าทายเหล่านี้กลับเป็นแรงหนุน ให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำตาลของไทยพัฒนานวัตกรรมต่อยอดธุรกิจ สร้างโอกาส รายได้ ไปพร้อมกับการวางอนาคตในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก
สื่อในประเทศไทยได้เข้าสัมภาษณ์ “นายชลัช ชินธรรมมิตร์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL Group ถึงการพลิกฟื้นอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล
ราคาน้ำตาลดีสุดในรอบ 12 ปี
แนวโน้มราคาน้ำตาล ทำราคาขายที่ดีขึ้น 30% เนื่องจากราคาตลาดโลกปรับตัวพุ่งขึ้นไปถึง 25-26 เซนต์/ปอนด์ ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นราคาที่ดีที่สุดในรอบ 12 ปี โดยคาดการณ์ราคาน้ำตาลตลาดโลกเฉลี่ยในปีนี้อยู่ที่ 22-23 เซนต์/ปอนด์ จากภัยแล้งทำให้ผลผลิตอ้อยลดลง
ส่วนผลผลิตอ้อยภาพรวมของประเทศ ไทย ปี 2567/2568 คาดว่าจะมีอ้อยเข้าหีบทั้งประเทศ 90-100 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วฤดู 2566/2567 ที่มีอ้อยเข้าหีบที่ 84 ล้านตันเพราะด้วยฝนดีขึ้น จากปี 2566/2567 ประสบภาวะภัยแล้ง จนทำให้พื้นที่ปลูกอ้อยเริ่มลดลง
ในส่วนของบริษัท KSL ฤดูการผลิตปี 2566/2567 มีปริมาณอ้อยเข้าหีบลดลง 20% เหลือ 5.43 ล้านตัน จากปี 2565/2566 ที่มีปริมาณอ้อยเข้าหีบ 6.60 ล้านตัน แต่คาดการณ์ผลผลิตอ้อย ทั้งกลุ่ม KSL ปี 2567/2568 จะอยู่ที่ 6.5 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2566/2567
“เราจึงคาดว่าครึ่งปีหลังจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 10% จากครึ่งปีแรก ที่มีความผันผวนเนื่องจากปริมาณอ้อยที่ลดลงจากสภาวะภัยแล้ง และการเลื่อนรับมอบสินค้าของลูกค้า ซึ่งรวมทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 2566 หรือประมาณ 18,695 ล้านบาท โดยสัดส่วนมาจากธุรกิจน้ำตาล 80% ธุรกิจไฟฟ้า 10% และจากธุรกิจบริษัทลูกจากการร่วมทุนกับ BBGI อีก 10%”
สำหรับการถือหุ้นในบริษัท บีบีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ BBGI ตอนนี้เรามีกำไรเติบโตขึ้นจากยอดขายไบโอดีเซลและเอทานอลที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก และยิ่งปั๊มบางจากควบรวมกับเอสโซ่ เราได้อานิสงส์ค่อนข้างมาก และในปี 2568 BBGI จะบันทึกกำไรเพิ่มขึ้นจากโครงการผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) ที่จะเริ่มผลิตในเดือนพฤษภาคม 2568
โรงงานสระแก้วเริ่มผลิต ธ.ค. 67
ความคืบหน้าการสร้างโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ที่ จ.สระแก้วจะพร้อมเดินเครื่องภายในธันวาคม 67 ตั้งเป้ากำลังการผลิตเบื้องต้น 20,000 ตันอ้อย/วัน เพื่อส่งเสริมกำลังการผลิตให้เพิ่มขึ้น คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีกราว ๆ 500,000- 600,000 ตัน/ปี และยังมีกำลังการผลิตไฟฟ้าถึง 35 เมกะวัตต์/วัน
ขณะนี้มีโรงงาน 5 แห่งในประเทศไทย โรงงานเก่าที่ จ.ชลบุรีได้ยุบไปแล้วและได้สร้างใหม่ที่สระแก้ว และ 1 แห่งในประเทศลาวที่ลุงทุนไปพร้อม ๆ กับกัมพูชา แต่กัมพูชาได้หยุดเดินเครื่องการผลิตไปเมื่อ 4 – 5 ปีก่อน เนื่องจากปริมาณอ้อยไม่มีเพียงพอต่อการผลิตน้ำตาลและสภาพอากาศไม่เอื้อต่อการเพาะปลูก ทำให้ได้ผลผลิตไม่คุ้มค่ากับการดำเนินธุรกิจต่อ
ต่อยอดสู่ธุรกิจอื่น
มองหาโอกาสต่อยอดธุรกิจที่มีอยู่ อาทิ เจรจาขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือใช้ให้กลุ่มลูกค้าที่สนใจที่เป็นธุรกิจอื่น ๆ ตอนนี้มีประมาณ 40-50 เมกะวัตต์ อย่างเช่นที่เรากำลังจะทำฟาร์มปลูกผักไฮโดร หรือผักปลอดสารพิษ เพราะโรงเรือนพวกนี้ต้องใช้ไฟอยู่แล้ว ไหนจะที่ดินที่เรามีก็เหลือ ตั้งโรงเรือนใกล้โรงงานแล้วส่งไฟเราเข้าไป ก็เป็นอีกธุรกิจที่น่าสนใจอาจเป็นการหาพาร์ตเนอร์เข้ามาทำด้วยกัน มันเป็นการต่อยอดจากสิ่งที่เราผลิตได้
หรืออย่างล่าสุดที่เราเปิดร้านกาแฟ เราก็เอาน้ำตาลที่มีมาใช้ หรือจะมองเรื่องธุรกิจอื่น ๆ ที่จะต่อยอดจากผลพลอยได้ปลายน้ำที่เรามี แต่คงยังไม่ไปทำชีวภาพหรือ Bio เพราะมองว่ามันยาก คนไทยยังไม่ยอมจ่ายอะไรที่แพงกว่าปกติ
น้ำตาล Low GI บุกกลุ่มสุขภาพ
ขณะนี้ได้เร่งทำตลาดผลิตภัณฑ์ Kane’s (เคนส์) เป็นน้ำตาล Low GI จากเทคโนโลยีการผลิตสิทธิบัตร Nucane ที่ช่วยรักษาสารโพลีฟีนอลจากอ้อยธรรมชาติ มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด ตอบโจทย์กลุ่มคนรักสุขภาพและกลุ่มคนมีโรคประจำตัว ซึ่งได้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับวงการอาหารเพื่อสุขภาพ ที่อร่อยพร้อมกับมีสุขภาพที่ดี หลังจากเปิดตัวจวบจนปัจจุบันได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี โดยมีการผลิตน้ำตาล Kane’s ราว 1,000 ตันต่อปี
มุ่งสู่องค์กรธุรกิจที่ยั่งยืน
เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาน้ำตาล Low GI ของกลุ่ม KSL ไม่เพียงแต่เป็นการต่อยอดทางธุรกิจ แต่ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของสุขภาพของผู้บริโภคในระยะยาวควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยองค์กรมุ่งเน้นการทำงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัตถุดิบในการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรเพื่อลด PM 2.5 ที่ได้ร่วมมือกับสมาคมชาวไร่อ้อยมาอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงการพัฒนากระบวนการผลิตเพื่อลดการปล่อยก๊าชเรือนกระจกของกลุ่มที่ได้การรับรอง Carbon Footprint Product และ Carbon Footprint Reduction Label ในปี 2565 ที่ผ่านมา โดยเราวางเป้าหมายมุ่งสู่องค์กรที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอนในปีพ.ศ. 2588 และการปล่อยก๊าชเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปีพ.ศ. 2603
ขอขอบคุณแหล่งที่มาจาก ประชาชาติธุรกิจ