บราซิลสนับสนุนอินเดีย สร้างสมดุลตลาดน้ำตาลโลกโดยการเพิ่มผลผลิตเอทานอล
Eduardo Leão de Sousa ผู้อำนวยการบริหารสมาคมอุตสาหกรรมอ้อยแห่งบราซิลหรือ UNICA เปิดเผยว่า อินเดียควรดำเนินโครงการเชื้อเพลิงชีวภาพ “ให้มีความมุ่งมั่นมากขึ้น” เพื่อให้โรงงานน้ำตาลเพิ่มผลผลิตเอทานอล ซึ่งจะเป็นการช่วย “สร้างสมดุลของน้ำตาลตลาดโลก” เขากล่าวให้สัมภาษณ์กับสื่อหนังสือพิมพ์ชั้นนำ The Indian Express
ปัจจุบันอัตราส่วนเฉลี่ยของเอทานอลในน้ำมันเบนซินมีอัตราร้อยละ6โดยประมาณตามที่ขายในอินเดีย และคาดว่าจะถึงร้อยละ 10 ภายในปี 2565 “สิ่งนี้จะทำให้การผลิตน้ำตาลลดลง 4ล้านตัน ซึ่งเป็นส่วนเกินในตลาดโลกปัจจุบัน ซึ่งปีที่แล้ว เรามีการผลิตเอทานอลมากขึ้น ทำให้สามารถเอาปริมานน้ำตาลออกไปได้ถึง 10 ตันในตลาดโลกแต่ด้วยจุดประสงค์นี้ก็อาจจะทำให้มีปัญหาได้เช่นกัน Sousa ให้สัมภาษณ์กับสื่อ The Indian Express
โรงงานน้ำตาลของบราซิลฤดูกาลปี 2562/2563 ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนจนถึงเดือนพฤศจิกายน มีการหีบอ้อยประมาน 642.7 ตัน เมื่อเทียบกับกลางเดือนตุลาคมถึงพฤษภาคมในฤดูกาลของอินเดีย มีเพียง 35% ของน้ำอ้อยจากการหีบเท่านั้นที่เข้าสู่การต้มและตกผลึกเพื่อการผลิตน้ำตาล 29.6 เมตริกตัน ส่วนที่เหลือ 65 เปอร์เซ็นต์จะถูกหมักและกลั่นเป็นเอทานอลได้ถึง 35.6 พันล้านลิตร
ในทางตรงกันข้าม โรงงานของอินเดียจะมีการหีบอ้อย 301.18 เมตรตริกตัน เพื่อผลิตเป็นน้ำตาลทราย 33.16 เมตริกตันและเอทานอลเพียง 1.886 พันล้านลิตรในปี 2561-2562 โดยฤดูกาลปัจจุบันปี 2562-2563 มีปริมาณน้ำตาลและเอทานอลอยู่ที่ประมาณเกือบ 27 เมตรตริกตันและ 1.9 พันล้านลิตรตามลำดับ
ซึ่งบราซิลก็ใช้เอทานอลผสมน้ำมันเบนซิน ในอัตราส่วนร้อยละประมาณ 48% เป็นผลสำเร็จด้วยนโยบายที่กำหนดในข้อบังคับการผสม ที่ไม่อนุญาตให้ขายน้ำมันเบนซินที่มีปริมาณเอทานอลน้อยกว่า 27% โดยเฉพาะภาษีก๊าซคาร์บอนจากน้ำมันเบนซิน ทำให้ดึงดูดการใช้เอทานอลผสมที่ปลอดจากการเก็บภาษี “สถานีน้ำมัน 40,000 แห่งในบราซิล ได้จำหน่ายทั้งน้ำมันเบนซินในอัตรา 27% ผสมเอทานอล (E27) หรือเอทานอลบริสุทธิ์ (E100) เพราะรถยนต์ส่วนใหญ่ เป็นรถยนต์ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้เชื้อเพลิงได้ด้วยกันทั้ง E27 และ E100 (ภาษีน้ำมันเบนซินทำให้ E100 ราคาถูกกว่าในบางครั้ง) แม้แต่ในน้ำมันดีเซล เรามีการผสมเอทานอล 12% เข้าไปด้วย” Sousa อธิบาย
ด้วยแผนงานที่มีความมุ่งมั่นในการใช้เอทานอล ทำให้อินเดียสามารถได้รับประโยชน์ 4 ประการ ประการแรกคือ อินเดียสามารถลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าน้ำมันของประเทศ “ปัจจุบันอินเดียกำลังพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันอยู่ที่ 80% ซึ่งเราก็เคยพึ่งพาการนำเข้าถึงเจ็ดสิบปีแล้วเช่นกัน แต่ปีที่แล้ว 48% ของน้ำมันเบนซินของเราถูกทดแทนด้วยเอทานอล การใช้ E27 และ E100 ช่วยให้เราหลีกเลี่ยงการใช้น้ำมันเบนซินเพิ่มได้เกือบ 310 พันล้านลิตรในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หากปริมาณนั้นถูกนำเข้ามา จะมีมูลค่าถึง 168 พันล้านเหรียญสหรัฐแน่นอน” Sousa กล่าว
ประการที่สอง อินเดียเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่เป็นอันดับสี่ของโลกรองจากจีน สหรัฐฯ และสหภาพยุโรป เมื่อเทียบกับน้ำมันเบนซิน เพราะเอทานอลสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 90 เปอร์เซ็นต์ ประการที่สาม การใช้เอทานอลสามารถปรับปรุงคุณภาพอากาศในเมือง มลพิษทางอากาศของเซาเปาโลได้ลดลงครึ่งหนึ่งในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แม้ว่ามีจำนวนรถเพิ่มขึ้นมากกว่า 80% “อนุภาคมลสารในเมืองโดยเฉลี่ยอยู่ที่หนึ่งในสิบของนิวเดลีทุกๆ 30ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เหตุผลหลักของมันคือการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ” Sousa กล่าว
ประโยชน์ที่สี่ จากการที่โรงงานของอินเดียเปลี่ยนมานำน้ำอ้อย เพื่อไปผลิตเอทานอลมากขึ้นจะช่วยลดการผลิตน้ำตาลทำให้ราคาน้ำตาลในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นได้ “เอทานอลช่วยลดความเสี่ยงให้กับชาวไร่อ้อยกว่า 50 ล้านคน เราต้องการให้อินเดียมีข้อบังคับใช้การผสมซึ่งจะทำให้โรงงานมีความยืดหยุ่นในการผลิตเอทานอลได้มากขึ้น เหมือนกับภาคอุตสาหกรรมของเรา และช่วยสร้างความสมดุลให้กับตลาดน้ำตาลโลก ผู้ผลิตอ้อยรายใหญ่อย่างอินเดีย จะช่วยสร้างตลาดโลกในการผลิตเอทานอล และทำให้เป็นสินค้าที่ซื้อขายในระดับสากลเหมือนกับน้ำมัน ถั่วเหลืองหรือน้ำตาล” Sousa กล่าว
อย่างไรก็ตาม การลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก นั่นคือน้ำมันดิบเบรนท์ได้ลดลงจาก 66 เป็น 36 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรลในปีนี้ ในขณะที่การประกอบการค้าต่ำกว่า 20 ดอลล่าร์สหรัฐเมื่อหนึ่งเดือนที่ผ่านมา หมายความว่าแม้โรงงานของบราซิลเบี่ยงเบนเพียง 55% จากอ้อย 650 เมตรตริกตัน ที่มีแนวโน้มหีบอ้อยในปี 2563-64 สำหรับผลิตเอทานอล ผลที่ได้รับคือ การผลิตน้ำตาลของบราซิลได้ลดลงจาก 38.6 เมตรตริกตัน ในปี 2017-18 เป็น 29 เมตรตริกตัน และ 29.6 เมตรตริกตันในสองฤดูกาลถัดไป คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 37.5-38.5 เมตรตริกตัน เอทานอลที่ผลิตได้จากอ้อยนั้นมีอยู่ประมาณ 30 พันล้านลิตรในปี 2563-64 เมื่อเทียบกับ 35.6 พันล้าน 33.1 พันล้าน และ 27.9 พันล้านลิตรเมื่อสามฤดูกาลก่อน
Sousa ยอมรับว่า “เรามีความสะดวกในการผลิตเอทานอลได้มากขึ้นเมื่อราคาน้ำมันดิบอยู่ที่ 60 แลกเปลี่ยนต่อบาร์เรล ในปีนี้เราอาจผสมน้ำตาลเพิ่มขึ้นจาก 35% เป็น 45%” แต่ในทางกลับกันผลผลิตจากบราซิลที่สูงขึ้นได้ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายดิบในนิวยอร์กร่วงตกลงที่ระดับต่ำในรอบ 12 ปี 6 เดือนที่ราคา 9.34 เซนต์ต่อปอนด์ในเดือนเมษายน ก่อนที่จะฟื้นตัวเพียงไม่กี่เซนต์ในขณะนี้ และได้ส่งผลถึงโอกาสการส่งออกของอินเดียเช่นกัน