จุดพลังให้อนาคตไบโอเอทานอล จะขับเคลื่อนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สู่ยุคพลังงานสีเขียวได้หรือไม่
ท่ามกลางราคาเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับความต้องการใช้พลังงานที่มีแต่จะเพิ่มขึ้น และปัญหาด้านภูมิอากาศที่เกิดขึ้นทั่วโลก ส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เผชิญกับโจทย์ท้าทาย ด้วยทรัพยากรทางการเกษตรที่มีอยู่มากมายท่ามกลางความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ไบโอเอทานอลถือเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนทั้งภูมิภาคไปสู่อิสรภาพด้านพลังงานและลดการปล่อยคาร์บอน ซึ่งอินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนามพร้อมพลิกโฉมภาคส่วนพลังงานของชาติด้วยการนำไบโอเอทานอลมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งนี้จะสามารถไขว่คว้าโอกาสนี้ให้บรรลุผลได้หรือไม่
ไบโอเอทานอลเป็นผลผลิตจากพืช เช่น อ้อย มันสำปะหลัง และเศษวัสดุทางการเกษตร เป็นแหล่งพลังงานทางเลือกที่ใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิลที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ยกระดับอาชีพ และกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น ซึ่งการที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นำเข้าน้ำมันมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ต่อปี ส่งผลให้เศรษฐกิจมีความเปราะบางไปตามราคานำมันที่ผันผวนและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ ผู้เขียนบทความนี้ประเมินว่าการเปลี่ยนไปใช้ไบโอเอทานอลจะช่วยลดรายจ่ายต่อปีโดยประมาณของแต่ละประเทศได้ดังนี้ อินโดนีเซียลดลง 1.97 หมื่นล้านดอลลาร์ มาเลเซียลดลง 9.27 พันล้านดอลลาร์ และไทยลดลง 7.06 พันล้านดอลลาร์ ตัวเลขที่ลดลงนี้หมายถึงงบประมาณในภาคส่วนอื่น ๆ ที่สำคัญระดับชาติในด้านสาธารณสุข การศึกษาและโครงสร้างพื้นฐานจะเพิ่มสูงขึ้น
นอกจากไบโอเอทานอลจะช่วยบรรเทาปัญหาทางเศรษฐกิจได้แล้วยังลดการปล่อยคาร์บอนในการคมนาคมได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉาะในภูมิภาคที่โครงสร้างพื้นฐานด้านรถไฟฟ้า (EV) ยังด้อยพัฒนา โดยเมื่อนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินจะได้เชื้อเพลิงทางเลือก เช่น E10 (สัดส่วนการผสมเอทานอล 10%) และ E20 (สัดส่วนการผสมเอทานอล 20%) เป็นเชื้อเพลิงทางเลือกที่ใช้ได้กับเครื่องยนต์เบนซินในปัจจุบันได้โดยแทบไม่ต้องปรับหรือเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานใหม่มารองรับ สำหรับประเทศที่ประสบปัญหาในการเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า ไบโอเอทานอลถือเป็นสิ่งที่เข้ามาตอบโจทย์ทั้งในแง่ของการช่วยลดมลพิษและสร้างความมั่นคงทางพลังงาน
แม้ไบโอเอทานอลจะมีศักยภาพสูง แต่ยังเต็มไปด้วยอุปสรรคในการนำมาใช้งาน โดยมีปัญหาใหญ่ 2 ประการคือ การแย่งชิงพื้นที่เพื่อเพาะปลูกพืชที่นำมาใช้ผลิตเป็นเชื้อเพลิงและความยั่งยืนของเม็ดเงินลงทุนในยุคที่ EV ได้รับความนิยม
เมื่อมีการผลิตไบโอเอทานอลเพิ่มขึ้น จะเกิดปัญหาแย่งชิงพื้นที่เพาะปลูกตามมา จนเกิดคำถามว่าการปลูกพืชพลังงานจะทำลายความมั่นคงทางอาหารในขณะที่ประชากรเพิ่มขึ้นหรือไม่ อีกทั้งพืชที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตไบโอเอทานอลยังเป็นที่ต้องการสูงมากในตลาดอื่น เช่น กากน้ำตาลในอินโดนีเซียเป็นวัตถุดิบมูลค่าสูงในภาคเภสัชกรรมและการส่งออก ทำให้อาจไม่เพียงพอในการนำไปผลิตเอทานอล สภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้กลายเป็นโจทย์ใหญ่ว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานและเศรษฐกิจไปพร้อม ๆ กันได้อย่างไร โดยไม่ให้สูญเสียความมั่นคงทางการเกษตรไป
รัฐบาลของแต่ละประเทศในภูมิภาคนี้ตั้งเป้าส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้า แต่แลกมาด้วยการพัฒนาไบโอเอทานอลที่ล่าช้าขึ้น เช่น ไทยเคยเป็นผู้นำด้านเอทานอลได้ยุติจำหน่ายเชื้อเพลิงผสมเอทานอลบางประเภท และหันไปให้ความสำคัญกับรถไฟฟ้า ทั้งนี้การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาคยังคงเป็นไปอย่างล่าช้า ด้วยยอดจำหน่ายรถยนต์ที่ซบเซา ซึ่งรถไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 5 เท่านั้น แม้จะได้รับเงินสนับสนุนมากมาย แต่ยังเผชิญอุปสรรคทั้งต้นทุนการผลิตที่สูง สถานีชาร์จที่ไม่ครอบคลุม และความไม่มั่นใจของผู้บริโภค ดังนั้นเอทานอลจึงเป็นทางออกสำคัญในช่วงที่กระแสรถไฟฟ้าเริ่มถึงจุดอิ่มตัว
โจทย์นี้แม้จะยากแต่ก็ไม่เกินความสามารถ แนวทางแก้ไขคือการใช้พื้นที่เสื่อมโทรมหรือพื้นที่ที่ไม่เหมาะกับการทำเกษตรมาปลูกพืชพลังงาน ซึ่งจะช่วยแก้ปัญหาสมดุลระหว่างความมั่นคงด้านอาหารและพลังงานได้ เช่น อินโดนีเซียพัฒนาพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังขนาดใหญ่บนที่ดินที่มีสารอาหารต่ำ ทำให้ผลิตเอทานอลได้ในปริมาณมากโดยไม่แย่งพื้นที่ปลูกพืชอาหาร เช่นเดียวกับมาเลเซียและไทยที่สามารถใช้ที่ดินให้เกิดประสิทธิภาพด้วยการจัดสรรพื้นที่และนำนวัตกรรมทางเกษตรกรรมมาประยุกต์ เช่น การปลูกพืชแซมและวนเกษตร นอกจากจะช่วยเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและสร้างความสมบูรณ์ให้ดินแล้ว แต่ยังสร้างระบบนิเวศทางการเกษตรที่ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศที่แปรปรวนอีกด้วย
สำหรับเอทานอลรุ่น 2 ที่ผลิตมาจากพืชที่มีสารลิกโนเซลลูโลส เช่น หญ้าเนเปียร์และวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใช้ทดแทนเอทานอลรุ่น 1 ได้อย่างยั่งยืน แม้ต้นทุนทางเทคโนโลยีของเอทานอลรุ่น 2 อยู่ในระดับสูง แต่การเพิ่มการลุงทุนการวิจัยและพัฒนาจะช่วยเพิ่มศักยภาพโดยลดการพึ่งพาพืชอาหารที่นำไปผลิตเชื้อเพลิงได้ และน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน (HVO) เป็นอีกหนึ่งส่วนผสมที่นำไปใช้ได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนเครื่องยนต์ ด้วยคุณสมบัติของมวลพลังงานที่หนาแน่นและรองรับการใช้ในเครื่องยนต์ทั่งไป ทำให้ HVO สามารถตอบสนองความต้องการได้หลายภาคส่วน เช่น การคมนาคมทางบก หรือแม้กระทั่งทางอากาศ แต่การขยายกำลังการผลิต HVO ต้องอาศัยความร่วมมือระดับภูมิภาค งบประมาณที่มั่นคง และการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบรรดาผู้นำระดับโลก
นอกจากการคมนาคมแล้ว เอทานอลยังสามารถนำไปผลิตเชื้อเพลิงอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) รวมถึงการใช้งานในอุตสาหกรรมเคมี เป็นต้น สำหรับภาคการบินเอทานอลจะเข้ามาเป็นปัจจัยขับเคลื่อนที่สำคัญ หลังช่วงโควิด-19 ความต้องการ SAF มีแนวโน้มพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งทานอลจะมีบทบาทหลักโดยมีภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมการบินที่ยั่งยืนของโลก
การใช้เอทานอลก่อเกิดประโยชน์ในด้านเศรษฐกิจและสังคม การตั้งโรงงานผลิตจะช่วยสร้างงานได้หลายพันตำแหน่ง ทั้งด้านเกษตรกรรม การแปรรูป และการจัดจำหน่ายสินค้า นำไปสู่การพัฒนาพื้นที่ชนบทและยกระดับชุมชน การจ้างงานไม่ได้เป็นผลพวงจากการเปลี่ยนไปใช้เอทานอล แต่เป็นหมุดหมายสำคัญที่ผลักดันไปสู่ความสำเร็จในการบรรเทาความยากจน ลดการเข้าไปหางานในเมืองใหญ่ และสร้างสังคมเท่าเทียมให้เกิดขึ้น
การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของเอทานอลอาจทำให้ขาดทุนในช่วงแรก แต่จะได้รับผลตอบแทนระยะยาว เราคาดว่าการลงทุนจะถึงจุดคุ้มทุนภายในปี 2573 จากนั้นรัฐสามารถลดหย่อนงบประมาณการนำเข้าน้ำมันได้พร้อม ๆ กับเกิดความมั่นคงด้านพลังงาน และเมื่อการเงินเข้มแข็งแล้ว แต่ละรัฐสามารถจัดสรรงบประมาณให้กับภาคส่วนอื่น ๆ ที่จำเป็นเร่งด่วน นำไปสู่วงจรของการเติบโตและการพัฒนา
การจะนำเอทานอลไปใช้อย่างเต็มศักยภาพ ประเทศทั่วทั้งภูมิภาคต้องร่วมมือกัน โดยกำหนดสัดส่วนมาตรฐานการผสมเอทานอลในน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งเสริมการปลูกพืชพลังงาน และสนับสนุนความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนเพื่อผลักดันนวัตกรรม นอกจากนี้ จัดทำนโยบายให้สอดคล้องกับเป้าหมายความยั่งยืนเพื่อกระตุ้นการพัฒนาเอทานอล ควบคู่การปฏิรูปการคมนาคมสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า ความร่วมมือเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวข้ามอุปสรรคทางเทคโนโลยีและการขนส่งที่นำไปสู่ความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคต
ไบโอเอทานอลไม่ได้เป็นแค่เชื้อเพลิงในช่วงเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเท่านั้น แต่เป็นจุดหมายสำคัญในการปฏิรูปพลังงาน เมื่อนำทรัพยากรทางการเกษตรในท้องถิ่นผสานกับกลยุทธ์ที่ก้าวหน้า ส่งผลให้เกิดอิสรภาพด้านพลังงาน ลดการปล่อยมลพิษ นำไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน ซึ่งมีแต่ต้องลงมือทำตอนนี้ก่อนที่โอกาสจะหลุดลอยไป
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการปฏิวัติไบโอเอทานอลแล้ว มีสองทางเลือกระหว่างการก้าวขึ้นเป็นผู้นำในยุคเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาด กับการปล่อยให้ศักยภาพของไบโอเอทานอลจางหายไปท่ามกลางกระแสรถไฟฟ้า ซึ่งคำตอบน่าจะชัดเจนอยู่แล้ว นี่ถือเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้