AI พลิกโฉมการปลูกอ้อย กรณีศึกษาจากอินเดีย สู่โอกาสใหม่ของเกษตรกรไทย
ในขณะที่เกษตรกรอ้อยทั่วโลกเผชิญกับความท้าทายจาก สภาพอากาศที่ไม่แน่นอน โรคและแมลงศัตรูพืช และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ประเทศอินเดียได้ก้าวสู่การใช้ AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ Data-Driven Agriculture (เกษตรแม่นยำ) เพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อยอย่างยั่งยืน ซึ่งถือเป็นโมเดลที่เกษตรกรไทยควรจับตามอง
เมื่อ AI เข้ามาช่วยชาวไร่อ้อยสู้ภัยแล้ง โรคพืช และเพิ่มคุณภาพอ้อย
Jagtap เกษตรกรวัย 65 ปีจากรัฐมหาราษฏระ อินเดีย หนึ่งในผู้ที่เริ่มต้นนำ AI มาช่วยบริหารไร่อ้อย เขาเริ่มโครงการร่วมกับ Agricultural Development Trust (ADT) Baramati โดยใช้เทคโนโลยี AI ที่พัฒนาร่วมกับ Microsoft เพื่อช่วยจัดการทุกมิติของไร่อ้อย ตั้งแต่สภาพอากาศ ดิน น้ำ ไปจนถึงแมลงศัตรูพืช
ในไร่อ้อยของ Jagtap มี สถานีตรวจวัดสภาพอากาศอัจฉริยะ ที่วัดลม ฝน อุณหภูมิ ความชื้น และแดด พร้อมกับเซนเซอร์ในดินที่ตรวจสอบค่าความชื้น pH และสารอาหารที่จำเป็น เช่น โพแทสเซียมและไนโตรเจน ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยัง แพลตฟอร์มข้อมูลกลาง Microsoft Azure Data Manager for Agriculture เพื่อประมวลผลร่วมกับ ภาพถ่ายดาวเทียมและโดรน พร้อมทั้งประวัติการปลูกในพื้นที่
ผลลัพธ์คือ แอปพลิเคชันมือถือชื่อ Agripilot.ai ที่ส่งคำแนะนำรายวันแบบง่าย ๆ เช่น
- ควรรดน้ำหรือไม่
- ควรใส่ปุ๋ยตรงจุดไหน
- พื้นที่ใดเสี่ยงต่อแมลงศัตรูพืชและควรตรวจสอบด่วน
ทุกอย่าง แม่นยำตามจุด GPS ของแปลงอ้อย เพื่อให้ทำงานเฉพาะจุด ลดการสูญเปล่าของทรัพยากร อีกทั้งข้อมูลทั้งหมดประมวลผลด้วย AI เพื่อแนะนำ แผนปฏิบัติการรายวัน ผ่านแอปพลิเคชันมือถือ Agripilot.ai ที่รองรับหลายภาษา (อังกฤษ ฮินดี และภาษาท้องถิ่น)

เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และย่นระยะเวลาเก็บเกี่ยว
ผลจากโครงการนำร่องจากการทดลองปลูกอ้อยในพื้นที่ 1 เอเคอร์ Jagtap พบว่า:
- ลำต้นอ้อยมีขนาดใหญ่และสูงขึ้น น้ำหนักเพิ่ม 30-40% ต่อกอ
- ปริมาณซูโครส (น้ำตาล) เพิ่มขึ้น 20% ซึ่งส่งผลต่อปริมาณน้ำตาลในกระบวนการผลิต
- ลดปริมาณน้ำและปุ๋ยที่ต้องใช้ เนื่องจาก AI ช่วยแนะนำการให้น้ำและสารอาหารอย่างแม่นยำ
- ระยะเวลาการเพาะปลูกสั้นลงเหลือ 12 เดือน จากปกติ 18 เดือน ช่วยเพิ่มความถี่ในการเก็บเกี่ยว
นอกจากนี้ โครงการยังเปิดตัวครั้งแรกในงาน Krushik Farmers’ Festival 2024 ที่มีเกษตรกรเข้าร่วมกว่า 200,000 คน ซึ่งทำให้เกษตรกรกว่า 20,000 คนสมัครเข้าร่วมทดลองใช้ AI ในไร่อ้อย

AI สำหรับอ้อยไทย: โอกาสใหม่ที่ควรเร่งพัฒนา
หากหันกลับมามองบริบทของ อุตสาหกรรมอ้อยไทย ซึ่งเผชิญปัญหาคล้ายคลึงกับอินเดีย ไม่ว่าจะเป็นภัยแล้ง น้ำท่วม โรคพืช ศัตรูพืช ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และความจำเป็นในการเพิ่มผลผลิตเพื่อแข่งขันในตลาดโลก AI จึงเป็นเครื่องมือที่ควรเร่งนำมาพัฒนาและใช้จริง
AI จะช่วย เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลดิน น้ำ และอากาศแบบเฉพาะพื้นที่ แทนการจัดการแบบเหมารวมทั้งแปลง ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสีย และควบคุมคุณภาพผลผลิตได้ตั้งแต่ต้นน้ำ
ในแง่ ต้นทุนการผลิต AI สามารถแนะนำปริมาณปุ๋ยและสารเคมีที่เหมาะสมกับแต่ละแปลงอย่างแม่นยำ ช่วยลดการใช้ทรัพยากรโดยไม่จำเป็น ลดต้นทุน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สำหรับ การป้องกันโรคและแมลงศัตรูพืช AI ทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วย” ที่วิเคราะห์ข้อมูลจากดาวเทียมและโดรน เพื่อแจ้งเตือนล่วงหน้า พร้อมแนะนำวิธีการป้องกันและควบคุมที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยลดความเสียหายจากการระบาดอย่างได้ผล
AI ยังช่วย เพิ่มคุณภาพผลผลิต ผ่านการวางแผนเก็บเกี่ยวในช่วงที่เหมาะสม เพื่อให้อ้อยมีปริมาณน้ำตาลสูงสุด สอดคล้องกับความต้องการของโรงงานน้ำตาล เพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต และส่งเสริมการแข่งขันในตลาดโลก
สัญญาณใหม่ของการยกระดับไร่อ้อยไทย
แม้ประเทศไทยจะเริ่มมีการนำ เทคโนโลยีสมาร์ทฟาร์ม มาใช้กับพืชเศรษฐกิจบางชนิด แต่อ้อยยังเป็นพืชที่ต้องการเร่งปรับตัวอย่างจริงจัง ท่ามกลางความท้าทายจากต้นทุน แรงงาน และข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม การพัฒนา AI เพื่อไร่อ้อยไทย ควรเริ่มต้นจาก โครงการนำร่องร่วมกันระหว่างโรงงานน้ำตาล สมาคมชาวไร่อ้อย หน่วยงานวิจัย และภาครัฐ เพื่อพัฒนาโมเดลที่เหมาะสมกับภูมิประเทศ สภาพดินฟ้าอากาศ และความต้องการของเกษตรกรไทย
กรณีศึกษาจากอินเดียพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือเทคโนโลยีแห่งอนาคต แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถใช้ได้จริงในวันนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพ ลดต้นทุน และดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ในยุคที่อุตสาหกรรมอ้อยไทยกำลังเผชิญความท้าทายจาก ตลาดโลก มาตรฐานการผลิต และข้อกำหนดการลดคาร์บอน การใช้ AI อาจเป็น กุญแจสำคัญ ที่ช่วยให้ “อ้อยไทยยุคใหม่” สามารถแข่งขันได้ ยั่งยืน และปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง