ผู้เชี่ยวชาญเร่งรัฐบาลไนจีเรียลุยแผนเพิ่มผลผลิตน้ำตาลในประเทศ
ผู้เชี่ยวชาญร้องเรียนให้ดำเนินนโยบายเพิ่มผลผลิตน้ำตาลในไนจีเรียเพื่อให้ทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสำนักข่าว The Nation ระบุว่าปริมาณการบริโภคอ้อยในไนจีเรียเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมีการขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 7 ต่อปีตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา
มีการคาดการณ์ว่าตลาดจะขยายตัวขึ้นหลายปีต่อจากนี้ เป็นผลมาจากความต้องการในประเทศที่สูง เม็ดเงินที่ลงทุนเพิ่ม และนโยบายของรัฐที่เอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมน้ำตาล นักวิเคราะห์คาดว่ามูลค่าตลาดน้ำตาลไนจีเรียจะเติบโตสูงกว่า 2.5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 คิดเป็นร้อยละ 5.37 ต่อปี
แม้ไนจีเรียจะมีศักยภาพในการเพิ่มผลผลิต แต่กลับเผชิญอุปสรรคหลายด้าน เช่น สภาพอากาศที่แปรปรวน โครงสร้างพื้นฐานที่มีช่องโหว่ พื้นที่เก็บผลผลิตที่ไม่เพียงพอ ระบบคมนานคมที่ล้าสมัย ชาวไร่ล้วนเจอกับปัญหาผลผลิตต่ำเพราะขาดองค์ความรู้ในการเพาะปลูกอ้อยที่ทันสมัย การใช้สารอาหารพืชคุณภาพต่ำ และไม่มีการนำเครื่องจักรทางการเกษตรมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งกระบวนการแปรรูปน้ำตาลของไนจีเรียอยู่ในระดับต่ำ ทำให้ไม่อาจผลิตน้ำตาลทรายขาวให้ทันกับความต้องการ
ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้เกี่ยวข้องหันมาร่วมมือกันเพื่อเพิ่มผลผลิต ยกระดับขีดความสามารถในการแปรรูปน้ำตาล ตลอดจนผลักดันนโยบายที่เป็นมิตรต่อผู้ผลิตน้ำตาลในประเทศ โดยเสนอแนะให้ศึกษาแนวทางการผลิตน้ำตาลทรายขาว น้ำตาลทรายแดง และสารให้ความหวานทดแทนเพิ่มเติม หากมีกระบวนการผลิตที่ก้าวหน้าขึ้น ไนจีเรียจะเป็นผู้ส่งออกน้ำตาลรายใหญ่ออกสู่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
ด้านดร. Femi Egbesola ผู้ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมเจ้าของธุรกิจรายย่อยประเทศไนจีเรีย (ASBON) ได้แสดงความคิดเห็นเรื่องแผนยุทธศาสตร์น้ำตาลแห่งชาติว่าแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย “ผลผลิตน้ำตาลไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการภายในประเทศได้ ไนจีเรียจะต้องพึ่งพาการนำเข้า รัฐบาลจึงต้องทำแผนยุทธศาสตร์น้ำตาลแห่งชาติฉบับใหม่ที่สามารถทลายอุปสรรคของอุตสาหกรรมน้ำตาล เพื่อให้ไนจีเรียยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง”
นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาในหลากหลายมิติ ทั้งการขาดแคลนวัตถุดิบ ระบบชลประทานที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดการใช้เครื่องจักรทางการเกษตร รายได้ที่ไม่มั่นคง และเงินทุนที่ไม่เพียงพอ
“การจะยกระดับความสามารถในการผลิตจะต้องปรับปรุงโครงสร้างของอุตสาหกรรมน้ำตาลใหม่ ควรจัดตั้งโรงงานน้ำตาลเพิ่มให้ครอบคลุมรอบพื้นที่ปลูกอ้อย และจัดหลักสูตรฝึกอบรมและดำเนินโครงการส่งเสริมให้กับผู้แปรรูปน้ำตาลและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย”
ศาสตราจารย์ Abel Ogunwale ประธานวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การเกษตรและทรัพยากรธรรมชาติหมุนเวียนแห่งมหาวิทยาลัย Ladoke Akintola ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเพิ่มผลผลิตอ้อยเพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ที่มั่นคง และได้เสนอแนะให้นำอ้อยมาใช้การผลิตเป็นเอทานอล
“แผนยุทธศาสตร์น้ำตาลแห่งชาตินี้จะสิ้นสุดในปี 2568 จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการเพิ่มผลผลิตอ้อย เพื่อสร้างรายได้ที่มั่นคงแก่เกษตรกรและการผลิตเอทานอลให้ทันกับความต้องการในประเทศ” ซึ่งแผนยุทธศาสตร์น้ำตาลแห่งชาติมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มผลผลิตน้ำตาลภายในประเทศ ลดการนำเข้าน้ำตาล สร้างงานสร้างอาชีพ และสนับสนุนการผลิตเอทานอลและพลังงานไฟฟ้า
“รัฐบาลต้องให้การส่งเสริมแก่สถาบันวิจัยต่าง ๆ เช่นสถาบันวิจัยธัญพืชแห่งชาติประจำรัฐไนเจอร์และสถาบันวิจัยน้ำตาลแห่งมหาวิทยาลัยอีโลรีน เพื่อเพิ่มผลผลิตอ้อยให้สูงขึ้น ผ่านการพัฒนาสายพันธุ์อ้อยที่ให้ผลผลิตสูงและเติบโตเร็วในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย” เขาเรียกร้องให้รัฐบาลส่งเสริมการลงทุนด้านการเพาะปลูกอ้อยและการผลิตเอทานอลจากภาคเอกชน พร้อมเสริมสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรชาวไร้อ้อยในพื้นที่ต่าง ๆ
และเสนอแนะให้รัฐบาลมอบเงินสนับสนุนการผลิตอ้อยเชิงพาณิชย์ตามรัฐต่าง ๆ ในประเทศ เช่น รัฐโซโคโต รัฐนาซาราวา รัฐเบนเว รัฐคาโน รัฐจีกาวา และรัฐเคบบี เป็นต้น
เมื่อเดือนที่แล้ว Kamar Bakrin เลขานุการบริหารประจำสภาพัฒนาน้ำตาลแห่งชาติ (NSDC) ออกมาระบุว่าไนจีเรียต้องได้เม็ดเงินลงทุนเป็นจำนวน 5 พันล้านดอลลาร์เพื่อให้สามารถบรรลุความมั่นคงด้านน้ำตาลได้
“ปัจจุบันไนจีเรียมีผลผลิตน้ำตาลอยู่ที่ 48,000 เมตริกตันต่อปี ขณะที่ตัวเลขการบริโภคน้ำตาลอยู่ที่ 1.8 ล้านเมตริกตันต่อปี ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนน้ำตาลประมาณ 1.75 ล้านเมตริกตัน”
ทาง Bakrin เองได้คัดค้านแนวคิดเรื่องการเก็บภาษีน้ำตาล โดยแย้งว่าไนจีเรียไม่ได้มีปัญหาเรื่องการบริโภคน้ำตาลมากเกินควรแต่อย่างใด “ประชากรไนจีเรียหนึ่งคนรับประทานน้ำตาลประมาณ 9 กิโลกรัมต่อปีเท่านั้น ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ต่ำเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของเรา”
เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อในกรุงลากอสว่าน้ำตาลไนจีเรียมีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ ทว่าจำเป็นต้องได้รับเงินลงทุนจำนวนมากเพื่อยกระดับให้เติบโตขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบไนจีเรียกับประเทศผู้ผลิตน้ำตาลชั้นนำระดับโลก เช่น บราซิลที่มีผลผลิตน้ำตาล 41 ล้านเมตริกตันต่อปี อินเดีย (36 ล้านเมตริกตันต่อปี) และไทย (14 ล้านเมตริกตันต่อปี) และหากดูเฉพาะทวีปแอฟริกาจะพบว่าอียิปต์เป็นแชมป์ผู้ผลิตน้ำตาลด้วยตัวเลข 2.8 ล้านเมตริกตันต่อปี แอฟริกาใต้ (2.4 ล้านเมตริกตันต่อปี) และเอสวาตินี (0.78 ล้านเมตริกตันต่อปี)
ด้านการส่งออกน้ำตาล บราซิลครองอันดับหนึ่งในตลาดด้วยตัวเลข 29.2 ล้านเมตริกตันต่อปี ไทย (8.2 ล้านเมตริกตันต่อปี) และอินเดีย (7 ล้านเมตริกตันต่อปี) ส่วนในทวีปแอฟริกา แอฟริกาใต้เป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคด้วยตัวเลข 0.7 ล้านเมตริกตันต่อปี รองลงมาคือมอริเชียสและเอสวาตินีที่มีการส่งออกน้ำตาลในปริมาณ 0.6 ล้านเมตริกตันต่อปี
หน่วยงานบริการด้านการเกษตรต่างประเทศ (FAS) ในสังกัดกรมวิชาการเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) คาดว่าประเทศแถบแอฟริกาตะวันตกและทางตอนใต้ของซาฮาราจะมีส่งออกน้ำตาลทรายขาวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ระหว่างปีการตลาด 2567-2568 เนื่องจากความต้องการที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันตัวเลขนำเข้าน้ำตาลดิบจะลดลงร้อยละ 6 จากนโยบายกีดกันทางการค้ากับต่างประเทศและแนวโน้มการบริโภคที่ชะลอตัวลง
ส่วนผลผลิตอ้อยภายในประเทศนั้นคาดว่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 7 ระหว่างปี 2567-2568 เข้าสู่ระดับ 80,000 เมตริกตัน เป็นผลมาจากเม็ดเงินลงทุนด้านการผลิตที่เพิ่มขึ้น
รายงานที่จัดทำโดยองค์กร Knowledge Sourcing Intelligence LLP ได้ประเมินไว้ว่ามูลค่าตลาดน้ำตาลของไนจีเรียจะพุ่งทะลุ 2.5 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2573 นี้ สอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเมือง ความก้าวหน้าด้านการแปรรูปอาหาร รวมถึงการบริโภคน้ำตาลที่เพิ่มสูงขึ้นจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม